เปิดมุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไทยปี 2023 กับกูรูของวงการลงทุนมาร่วมให้มุมมองการลงทุนในปีนี้ ในเวทีสัมนากับหัวข้อ The Better Investment 2023
ในงานเปิดตัวสำนักข่าว The Better ได้มีการจัดเวทีสัมนาในหัวข้อ The Better Investment 2023 : การลงทุนหุ้นไทย 2023 กับกูรูของวงการลงทุน ซึ่งมีกระทรวง จารุศิระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด , ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์การลงทุน บลจ. Merchant Partner และพิชัย จาวลา นักลงทุนเจ้าของทฤษฎี "ผลประโยชน์" มาร่วมให้มุมมองการลงทุนในปีนี้
โดย กระทรวง จารุศิระ กล่าวว่า มองว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังไม่แย่ เนื่องจาก มีปัจจัยหนุนในเรื่องของการเลือกตั้ง แต่อย่างไรก็ตามไม่ถึงขั้นดีมาก เพราะทุกวันนี้ตลาดหุ้นนั้นถูกกดดันด้วยเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย (recession) เพราะฉะนั้นจะให้ฟันธงว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่ ๆ จึงไม่สามารถทำได้ โดยมองว่าตลาดหุ้นจะแกว่งตัวไซด์เวย์ อยู่ในกรอบประมาณไม่หลุด 1,500 จุด แต่คิดว่าจะไม่เกิน 1,850 จุด
ด้านประเด็น The Better Investment มองว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก ดังนั้นการลงทุนจึงไม่ควรอยู่ในกรอบเดิม เราต้องเป็นผู้ที่มีความรู้มากกว่านี้ และตอนที่ตนเองนั้นเข้าสู่วงการตลาดหุ้นครั้งแรก เริ่มต้นการลงทุนก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบมีทั้งช่วงที่จังหวะดี และไม่ดี แต่ตนนั้นมองการขาดทุน หรือได้กำไรเรียกว่าเป็นประสบการณ์ท่ีดี และสามารถทำให้เราเติบโตขึ้น
นอกจากนี้ ในเรื่องของการลงทุนเราไม่จำเป็นจะต้องไปคาดหวังกับผู้อื่น ไม่ต้องคาดหวังกับตลาด ไม่ต้องคาดหวังกับรัฐบาล ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเรามีความรู้มากพอ และเราก็จะสามาถรบริหารจัดการได้นั้นคือ The Better Investment ในตัวเราเอง
ด้าน พิชัย จาวลา กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในปีนี้ มองกลุ่มอุตสาหกรรม ภาคการผลิต ภาคตลาดแรงงาน (Real Sector) จะดีแบบชัดเจน เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพิงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเยอะ และจีนเปิดประเทศ ส่วนในตลาดหุ้นคาดว่าจะดี แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเท่ากับกลุ่ม Real Sector และอาจจะมีช่วงที่ลดลงบ้าง โดยรวมจึงมองว่าดัชนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,700 จุด หรือบวก-ลบอย่างละร้อยจุด
ส่วนประเด็น The Better Investment ส่วนตัวมองว่า พื้นฐานการคิด ทัศนคติ ระบบการคิด และหลักการคิดคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าหากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นผิดมาตั้งแต่เริ่มก็จะทำให้รากฐานที่ต่อมาจากความคิดไม่ยั่งยืน เช่น เรื่องหุ้น มองว่าทัศนคตินั้นสำคัญมาก เพราะรากฐานที่สำคัญคือการบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่การบริหารกำไร เพราะส่วนใหญ่คนที่ชนะตลาดคือคนที่บริหารความเสี่ยงได้ดี เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวน
ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าในตลาดหุ้นมีการลงทุนเพื่อเก็งกำไรอยู่ในสัดส่วน 90% และอีก 10% เป็นการลงทุนแบบยั่งยืน เพราะฉะนั้นเราต้องมองความมั่นคงมาก่อนการเติบโต เพราะการเติบโตที่มีรากฐานที่ไม่แน่นอนจะทำให้เราแพ้ในระยะยาว ที่สำคัญเราจะต้องลงรายละเอียดให้รู้ลึกทุกมุมมอง เพราะจะทำให้ได้เปรียบ เนื่องจากตลาดหุ้นมันมีหลายมิติ ทั้งในเรื่องการขึ้น-ลง มิติในเรื่องของมูลค่า ซึ่งบางทีสองอย่างนี้ไม่ได้ไปด้วยกัน ดังนั้นเราต้องจะรู้ตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
ด้าน ประกิต สิริวัฒนเกตุ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นจะดี เนื่องจาก แรงกดดันจากเงินเฟ้อลดลง ในขณะเดียวกันยังมีความคาดหวังจากเศรษฐกิจที่เชื่อว่าจะดีขึ้น หลังนักท่องเที่ยวจีนกลับมา และยังมีเรื่องเลือกตั้งที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งโดยรวมถือว่าไม่แย่มากนัก และยังเชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/2566 คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างเนื่องซึ่งบรรยากาศเหล่านี้จะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่ในช่วงกลางปีจะเจอเรื่องของมูลค่า (valuation) ที่แพงขึ้น ซึ่ง ประกิต มองว่าการแพงขึ้นในครั้งนี้ การเติบโตจะตามไม่ทัน เนื่องจาก สมมุติว่าเรามีความคาดหวังกับเรื่องของนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในประเทศ ซึ่งโดยปกติแล้วคนจีนจะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยปีละประมาณ 10-11 ล้านคน ส่วนปี 2565 เข้ามาประมาณ 3 แสนคน เพราะฉะนั้นปีนี้มีความคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 6-7 ล้านคน ซึ่งถือว่าทุกอย่างถูกซึมซับเข้าไปในราคาเป็นที่เรียบร้อย
ดังนั้น เมื่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมา แต่ปรากฎว่าคนจีนไม่ได้มาตามที่คาดหวังไว้ เท่ากับว่า valuation ที่ขึ้นมาได้รองรับไปทุกอย่างแล้ว ซึ่งมันจะถือว่าแพง และจะส่งผลให้ครึ่งหลังของปี จะเป็นจุดที่ตลาดหุ้นไทย หรือ valuation มีความแพงสูงมากๆ
ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่า (valuation) ค่อนข้างถูก หลังจากที่ปรับลดลงเมื่อปีที่ผ่านมากว่า 20% และในขณะเดียวกันการเติบโตของตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นสหรัฐฯกำลังเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา เพราะเงินเฟ้อเริ่มแผ่ว เพราะฉะนั้นสองตลาดหุ้นนี้จะกลายเป็นตัวพลิกฟื้นขึ้นมาในครึ่งปีหลัง
ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ปรับตัวขึ้นแรงก็มีโอกาสที่ถูกขายทำกำไร (Take Profit) ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ครึ่งแรกของปีปัจจัยบวกยังค่อนข้างเยอะ จึงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยิ่งดันขึ้นไปก็จะเจอกับความแพง ซึ่งทำให้การเติบโตตามไม่ทัน ส่งผลให้คาดว่าช่วงครึ่งหลังตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีปัจจัยหลัก คือ สถานการณ์หลังเลือกตั้งจบลง ซึ่งเราจะต้องมานั่งกังวลกับรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม น่าจะเป็นนโยบายที่ดึงการเติบโตเศรษฐกิจลงมาได้
ซึ่งก่อนการเลือกตั้งจะเห็นการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียง ซึ่งระหว่างนี้บรรยากาศยังคงคึกคัก แต่หลังจากการเลือกตั้งไปแล้วเราจะต้องมานั่งกังวลกับนโยบายที่แต่ละพรรคหาเสียงไว้ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณสูงมาก ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะมีการขาดวินัยการคลัง ซึ่งนี่จะเป็นตัวขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งตลาดที่มีมูลค่า (valuation)แพงอยู่ก็จะปรับตัวลดลงแรง