GPSC คว้ากำไรไตรมาสแรก 1,118 ล้านบาท รับรู้รายได้โรงไฟฟ้า SPP-พลังงานสะอาด

GPSC คว้ากำไรไตรมาสแรก 1,118 ล้านบาท  รับรู้รายได้โรงไฟฟ้า SPP-พลังงานสะอาด
GPSC โชว์รายได้ 2.7 หมื่นล้าน ทำกำไรเพิ่ม 257% เหตุราคาก๊าซ-ถ่านหินลด ค่าเอฟทีปรับขึ้นสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิง ส่งผลโรงไฟฟ้า SPP ดีขึ้น

 นายวรวัฒน์   พิทยศิริ    ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่    บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้ทั้งสิ้น 27,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)  โดยมีกำไรสุทธิ 1,118  ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 804 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 257% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 (QoQ ) กำไรสุทธิของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,554 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 356%

ทั้งนี้มีปัจจัยบวกจากการปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ของงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566  ที่สะท้อนต้นทุนพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ margin ขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสูงขึ้น แม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำในกลุ่มอุตสาหกรรมจะลดลง จากการหยุดซ่อมบำรุงของลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันที่มีกำไรเพิ่มขึ้น  ประกอบกับได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท จำกัด (Avaada Energy Private Limited หรือ AEPL) เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการขายและบริหารลดลง แม้ว่าบริษัทฯ  จะได้รับส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีลดลงจากปริมาณน้ำลดลงก็ตาม

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงติดตามราคาพลังงาน  ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหินอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในขบวนการผลิต หรือ Optimization และมีการจัดลำดับการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำเป็นลำดับแรก เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด 

รวมทั้งบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการ Synergy เพื่อบริหารจัดการด้านการผลิต ลดต้นทุน และใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน รวมถึงการดำเนินการด้านอื่นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในปี 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการขยายตัวอยู่ในระดับ 3.6% จากการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ซึ่งมีผลต่อการจ้างงาน และยังมีปัจจัยสนับสนุนไปถึงการบริโภคของภาคเอกชนที่จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

ขณะที่การส่งออกไตรมาสแรก เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด