'ราช กรุ๊ป’วางกลยุทธ์ลงทุนธุรกิจไฟฟ้าต่อเนื่อง โชว์รายได้ไตรมาสแรก 1.7 หมื่นล้านบาท หลังรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าใหม่ทั้งในและต่างประเ
น.ส.ชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ริษัทฯเดินหน้ารักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก 2566 มีรายได้รวม จำนวน 17,005 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็นจำนวน 3,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 และกำไรก่อนหักขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เป็นจำนวน 1,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.3 โดยเมื่อหักผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว กำไรส่วนของบริษัทฯ เป็นจำนวน 1,448 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่ลงทุนใหม่ ได้แก่ 1.โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง 98 เมกะวัตต์ 2.โรงไฟฟ้าพลังงานลมลินคอล์น แก็ป 1&2 กำลังผลิตรวม 212 เมกะวัตต์ 3.โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสแนปเปอร์ พอยท์ ขนาด 154 เมกะวัตต์ ในออสเตรเลีย
4.โรงไฟฟ้าพลังน้ำค๊อคซาน 17.37 เมกะวัตต์ และ5.โรงไฟฟ้าพลังน้ำซ็องเกียง2 กำลังผลิต 17.10 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม รวมเป็นเงินประมาณ 1,479 ล้านบาท ซึ่งช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินของบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามธุรกิจไฟฟ้ายังคงสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ เป็นจำนวน 16,494 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97 ของรายได้รวม โดยเป็นรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล จำนวน 14,603 ล้านบาท (ร้อยละ 88.5) และรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จำนวน 1,891 ล้านบาท (ร้อยละ 11.5)
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-Power เริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น โดยไตรมาสนี้มีจำนวน 511 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3 ของรายได้รวม
สำหรับการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน กำลังการผลิตติดตั้ง 2,045 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ซึ่งบริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ซึ่งประเมินไว้จะมีรายได้ปีละ 2,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2567 จำนวน 8 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 518.66 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าตามแผนงาน สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง อยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 นี้
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังก้า ในฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 36.33 เมกะวัตต์กำลังดำเนินการจัดหาเงินกู้โครงการและจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในเดือนมิถุนายน นี้ ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นความสำเร็จในการบุกเบิกธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์
น.ส.ชูศรี กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยกำหนดงบไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ ทั้งประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะเน้นเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก และพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ ในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย
ส่วนธุรกิจ Non-Power บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย การผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ กลุ่มประเทศยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และขยายฐานธุรกิจด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น