SCG Decor พร้อมเดินหน้ายื่นไฟลิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นบริษัทแกนหลักในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ของเอสซีจีที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังผู้ถือหุ้น COTTO ให้ความเชื่อมั่นอนุมัติแผนเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decor และ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้น COTTO ได้ลงมติอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ให้เพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนการร่วมปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้ SCG Decor เป็นบริษัทแกนหลักในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ของเอสซีจีที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพียงบริษัทเดียว
โดยในการประชุมดังกล่าวผู้ถือหุ้น COTTO ได้แสดงความเชื่อมั่นและสนับสนุน ด้วยการลงมติอนุมัติกว่าร้อยละ 87 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท และไม่มีผู้ถือหุ้นคัดค้านเกินกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
“บริษัทฯ มีความยินดีและขอบคุณที่ผู้ถือหุ้น COTTO ให้ความเชื่อมั่นอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับโครงสร้าง และคาดหวังว่าผู้ถือหุ้น COTTO จะตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นจาก SCG Decor เพื่อร่วมเติบโตไปด้วยกัน ก้าวไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เพื่อโอกาสขยายตลาดระดับภูมิภาคอาเซียนที่ใหญ่ขึ้น โดยในวันนี้เมื่อ COTTO ได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้วจะดำเนินการปรับโครงสร้าง ร่วมกับ SCG Decor และเตรียมการเพื่อนำ SCG Decor เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป” นายนำพล กล่าว
สำหรับผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นจาก SCG Decor จะเปลี่ยนสถานะจากเป็นผู้ถือหุ้น COTTO ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ในประเทศไทย กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor ที่เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศไทยที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่ง
บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด (SSW) ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ในประเทศไทยและส่งออก ที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่ง, Prime Group ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศเวียดนามที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่ง, Mariwasa-Siam Ceramics Inc (MSC) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศฟิลิปปินส์ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง
PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk (KIA) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากร 276 ล้านคน สูงที่สุดในอาเซียน และบริษัท นอริตาเก้ เอสซีจี พลาสเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาวขึ้นรูปสำหรับวัสดุก่อสร้างและผลิตภัณฑ์กาวและซิลิโคนยาแนว
จากการผสานพลังระหว่างบริษัทในกลุ่ม จะทำให้ SCG Decor ยกระดับเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชั้นนำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนที่มีโอกาสขยายตลาดในระดับภูมิภาคที่ใหญ่ขึ้นและสามารถเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้สูงขึ้นในหลากหลายด้าน ได้แก่
- ยอดขายเพิ่มขึ้น 2.3 เท่า จาก 13,224 ล้านบาท เป็น 30,886 ล้านบาท ในปี 2565 และกำไรสุทธิในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท (ไม่รวมรายการพิเศษ) เพิ่มขึ้น 2.6 เท่า จาก 449 ล้านบาท เป็น 1,163 ล้านบาท ในปี 2565
- ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น จากประเทศไทยที่มีประชากรรวม 71.7 ล้านคนไปสู่ตลาดในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีประชากรรวมกว่า 560 ล้านคน
- มีกำลังการผลิตในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวเพิ่มขึ้นจาก 80 ล้านตารางเมตรต่อปีในประเทศไทย เป็น 187.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
- ช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 9 เท่า จาก 1,200 ราย เป็นกว่า 10,000 ราย
- ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้นจาก 103 ร้านในประเทศไทย เป็น 142 ร้านในประเทศไทย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และ
- สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3.6 เท่า จาก 11,310 ล้านบาท เป็น 40,576 ล้านบาท
โดย SCG Decor มีแผนที่จะผสานพลังระหว่างบริษัทในกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนและมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน ภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1) การขยายธุรกิจสุขภัณฑ์เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
2) การต่อยอดความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ในประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ในภูมิภาคอาเซียน โดยการประยุกต์ใช้โมเดลธุรกิจที่เข้มแข็งของประเทศไทย
3) การขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ (Decor Surfaces and Bathroom)
4) การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านการผลิต และการจัดหาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้และศักยภาพในการทำกำไร และ
5) การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ตลอดจนกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานระดับโลก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 SCG Decor ได้ประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO จากผู้ถือหุ้นทุกรายที่ตอบรับคำเสนอซื้อดังกล่าว ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายปัจจุบันในกระดานหลักทรัพย์ และสูงกว่าราคา ณ วันที่ประกาศ โดยจะชำระค่าหุ้นเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCG Decor เท่านั้น
ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCG Decor โดยภายหลังการทำคำเสนอซื้อหุ้นสิ้นสุด COTTO จะถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทาง SCG Decor และ COTTO จะแจ้งความคืบหน้าให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นตามลำดับต่อไป
ปัจจุบัน SCG Decor กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)
“การเดินหน้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ เอสซีจี เดคคอร์ เพื่อรองรับแผนงานขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในระดับอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและเศรษฐกิจเติบโตได้ดี โดยมั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของเอสซีจี เดคคอร์ จากการการเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน เมื่อผสานพลังกันระหว่างบริษัทในเครือจะสร้างเติบโตอย่างมั่นคงและประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย” นายนำพล กล่าว