PMC ยักษ์ใหญ่วงการสติ๊กเกอร์ ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 115.72 ล้านหุ้น ระดมทุนใน mai เพิ่มกำลังการผลิต-ขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศแถบอาเซียน
รัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า
ขณะนี้ PMC ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทฯ เพื่อประกอบการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา
โดยแผนเสนอขายหุ้นของ PMC จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 115,715,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด
ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
สำหรับจุดเด่นของ PMC คือ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์เปล่า (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ
บริษัทฯ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษสติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษอื่นๆ บริษัทฯ จำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงพิมพ์ฉลากสินค้า(Printer) และผู้ผลิตฉลากสินค้า (Converters) เป็นหลัก โดยลูกค้าจะนำสติ๊กเกอร์เปล่าไปดำเนินการออกแบบ จัดพิมพ์ลวดลาย
โดยบริษัทฯ จำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย2 แห่ง ได้แก่ PMC Label Materials PTE., Ltd. หรือ PMCS ในประเทศสิงคโปร์ และ PMC Label Materials (Malaysia) SDN. BHD. หรือ PMCM ในประเทศมาเลเซีย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณ 60% และอีก 40% เป็นการจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศกว่า 15 ประเทศทั่วโลก โดยมีฐานลูกค้าหลักในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องจาก 708 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 834 ล้านบาทในปี 2564 และ 874 ล้านบาทในปี 2565 แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ลงทุนขยายกำลังการผลิตและชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง, ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อสินค้า และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ