ปตท.สผ.ชูกลยุทธ์ Coming Home ก้าวข้ามยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน

ปตท.สผ.ชูกลยุทธ์ Coming Home ก้าวข้ามยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ปตท.สผ.สร้างความมั่นคงพลังงาน โฟกัสลงทุนแหล่งก๊าซ-น้ำมัน ในอ่าวไทย-มาเลเซีย พร้อมนำร่องโมเดล CCS โครงการแหล่งอาทิตย์ร่วมลดคาร์บอน

กว่า 30 ปีที่ปตท.สผ.มีบทบาทสำคัญกับประเทศในการดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน และยังคงทำหน้าที่นี้ต่อไปในทุกช่วงของการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์พลังงานโลก 

สำนักข่าว The Better ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  หรือ ปตท.สผ. ถึง กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานว่า เราปรับทิศทางกลยุทธ์ตามการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม ก่อนหน้านี้ เมื่อ 2-3 ปี ได้เห็น Energy Transition การเปลี่ยนรูปแบบของพลังงาน  จนมาล่าสุดผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย- ยูเครน ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพลังงานไปทั่วโลก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ

ทางปตท.สผ.ยังคงเดินตามกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง 3 แนวทาง 1.การขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มมูลค่าการผลิตสำรวจปิโตรเลียมหรือ Drive  Value  ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิตจากโครงการในประเทศไทย และเร่งรัดการพัฒนาโครงการหลักๆ ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง

สำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือ E&P ได้ปรับมาหลายปีแล้ว แต่ครั้งนี้การลงทุนจะไม่เน้นไปในพื้นที่ที่ไม่ชำนาญมากนัก อย่างเช่นในอดีตเคยไปลงทุนในประเทศที่มีความชำนาญ ทั้ง บราซิล และแคนาดา 

ขณะเดียวกันนอกจากการสร้างมูลค่าการลงทุนทางธุรกิจแล้วยังให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในอ่าวไทย การหาแหล่งผลิตก๊าซฯในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาร์  ยังมีความจำเป็นเพราะไทยใช้ก๊าซฯที่ผลิตจากเมียนมาร์สัดส่วน 17%  รวมถึงการลงทุนในมาเลเซีย ซึ่งดำเนินธุรกิจมาแล้ว 20 ปี ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย(MT JDA) 

2.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonize) ซึ่งเป็นไปตามกระแสโลก ปัจจุบันมีหลายเรื่องที่เข้ามาทั้งภาวะโลกร้อน ภูมิอากาศ รวมถึงข้อกำหนดทางภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไทยมีข้อตกลงร่วม NET ZERO ในปี 2030  ดังนั้นต้องหาแนวทางในการลด และการหาวิธีการเก็บคาร์บอน  ขณะนี้กำลังเร่งพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture & Storage หรือ CCS) โครงการปล่อยก๊าซส่วนเกินซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมเป็นศูนย์ (Zero Routine Flare) เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท

และ 3.Diversify การสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  มองหาโอกาสลงทุนอื่นๆมากขึ้น นอกเหนือจากก๊าซธรรมชาติ  โจทย์มันยากตรงที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานจะไปในทิศทางไหน จะเป็นแอมโมเนีย  หรือไฮโดรเจน ยังไม่ทราบ ขณะนี้ได้ตั้งทีมงานขึ้นมาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ  เราจะโฟกัสในเรื่องรูปแบบพลังงาน และเทคโนโลยี  ซึ่งเชื่อว่าปตท.สผ.มีบุคคลากรที่มีประสิทธิภาพสูง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) ได้พัฒนาโดรนไปหลายโครงการ ทั้งการถ่ายภาพทางอากาศ การเก็บคาร์บอนของป่าต่างๆ หุ่นยนต์ใต้น้ำ

ชูกลยุทธ์ Coming Home มุ่งลงทุนโครงการที่ใช่เท่านั้น

มนตรี กล่าวว่า ในเรื่องของแผนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เราพร้อมจะลงทุนพลังงานใหม่ทุกโอกาส ทุกโครงการ ในสัดส่วนที่พอดีแต่ไม่ใช่ทุ่มทั้งหมด เพื่อให้สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆได้จากผู้ร่วมทุน

ทั้งนี้ ปตท.สผ.เรียนรู้ E&P มาเยอะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา อย่างในช่วงปี 2010 หลายคนมองว่าโลกจะขาดแคลนน้ำมัน  ราคาน้ำมันทำสถิติสูงสุด 120-130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ช่วงก่อนเกิดวิวัฒนาการ Shale Oil หรือ เชลออย(การผลิตน้ำมันจากหินดินดานในสหรัฐ)  ตอนนั้นตัดสินใจกล้าลงทุนไปเยอะ ทั้งออสเตรเลีย แคนาดา บราซิล ไปในที่ๆคิดว่าจะต้องหาแหล่งพลังงาน  พอสถานการณ์มันปรับเปลี่ยน ในปี 2014-2015 กลายเป็นน้ำมันล้นโลก

หลังจากนั้นก็ต้องปรับสภาพการลงทุน E&P  โดยถือว่าบริษัทฯยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งพอสมควร และมีศักยภาพของบุคคลากรที่สามารถเติบโตได้  ควรจะเติบโตในที่ที่เราโฟกัส  ยุทธศาสตร์นี้เริ่มตั้งแต่ปี 2018  โดยใช้หลัก Coming Home ความหมายของ Home คืออ่าวไทย  มาเลเซีย และประเทศเพื่อนบ้าน  ส่วนตะวันออกกลาง ยังคงเลือกพื้นที่ที่คุ้นเคยคือ โอมานกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) 

ส่วนการขยายออกนอกโครงการที่มีอยู่  40-50 โครงการนั้น  คงไม่ออกไปประเทศที่หลุดโฟกัส  โดยประเทศไหนไม่ได้อยู่ในโฟกัสก็ผ่องถ่ายออกไป   ขายออกไปบ้าง เช่น บราซิล   แองโกลา   และกำลังจะออกจากออสเตรเลีย

โฟกัสลงทุนในอ่าวไทยและมาเลเซีย

ตอนนี้ยังให้ความสำคัญการลงทุนสำรวจในอ่าวไทยและมาเลเซียในลำดับต้นๆ ทั้งแหล่งบงกช  และแหล่งเอราวัณ ที่ต้องเร่งกำลังการผลิตให้ได้ตามเป้า 800 ล้านาลูกบาศก์ฟุต(ลบ.ฟุต)ต่อวัน ในเดือนเม.ย.ปี 2567 ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับประเทศได้  ส่วน 2 แปลงใหม่ที่เพิ่งได้ลงนามไปอยู่ในบริเวณเดียวที่ติดกับแหล่งเอราวัณและบงกช จะเร่งสำรวจ หากมีศักยภาพ สามารถวางแท่นผลิตปิโตรเลียมทันที

ด้านโครงการลงทุนปิโตรเลียมในมาเลเซีย ปัจจุบันมีโครงการกว่า 10 แปลง  ทั้ง MT JDA และโครงการในรัฐซาบาห์ และรัฐซาราวัก  

ส่วนที่เมียนมาร์ยังดำเนินการต่อเนื่อง แต่ไม่มีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่ม โดยประคองสัดส่วนการผลิตก๊าซธรรมชาติไม่ให้มีผลกระทบต่อไทย  ปัจจุบันแหล่งซอติก้า มีปริมาณก๊าซฯเข้าไทยวันละ 200 ล้าน ลบ.ฟุต  แหล่งยาดานา ผลิตอยู่วันละ  500-600 ล้านลบ.ฟุต  ซึ่ง 2 ใน 3 ของปริมาณที่ผลิตถูกส่งมาที่ไทย

“แหล่งยาดานาจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2028  แต่ยังมีศักยภาพที่ผลิตต่อได้ อยู่ในช่วงของการพิจารณาว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนอย่างไรหรือไม่ แต่วันนี้จะไม่ลงทุนเพิ่มในเมียนมาร์แล้ว  ต้องยอมรับว่าแหล่งก๊าซในเมียนมาร์มีความความสำคัญกับไทยมาก เพราะโรงไฟฟ้าในภาคตะวันตก 11 แห่ง ยังใช้ก๊าซจากเมียนมาร์ หากก๊าซฯไม่มาไฟฟ้าจะดับในภาคตะวันตกรวมถึงภาคใต้ด้วย”

สำหรับแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ๆที่ปตท.สผ.สนใจนั้น  ต้องยอมรับว่า ธุรกิจน้ำมันและก๊าซยังมีความไม่แน่นอนตรงที่ไม่รู้วาพลังงานรูปแบบใหม่จะมาเมื่อไหร่  ดังนั้นการที่จะเข้าไปซื้อกิจการอะไรก็ตามจะไม่ซื้อในกิจการที่ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าเลือกได้ก็เป็นโครงการก๊าซในระยะต้นๆ เพื่อให้สามารถรักษาปริมาณการผลิต ปริมาณสำรอง  การเข้าไปลงทุนแล้วต้องรอการผลิต 5-7 ปี คงไม่ใช่ 

นำร่องโมเดล CCS แหล่งอาทิตย์เก็บคาร์บอนใต้ทะเล

มนตรี  กล่าวว่า หลังจากการที่รัฐบาลได้ประกาศเจตนารมณ์ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) โดยมีเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero greenhouse gas emissions) ในปี 2608  สอดคล้องกับนโยบายปตท.สผ. ที่ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ผ่านแนวคิด EP Net Zero 2050 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียม

ทั้งนี้ได้พัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS)  ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มนำร่องกับแหล่งปิโตรเลียมในโครงการแหล่งอาทิตย์อ่าวไทยแล้วตั้งแต่ปี 2564  

สำหรับ CCS ถ้าอธิบายให้เข้าใจคือการนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้มาเก็บไว้ในใต้ดิน หรือในชั้นหินใต้ทะเล  โดยผ่านการแปรรูปเป็นของเหลวเหมือนน้ำและเก็บไว้ใต้ดิน  อย่างกระบวนการผลิตก๊าซเมื่อส่งเข้าโรงแยกก๊าซฯแทนที่จะปล่อยคาร์บอนฯออกไปก็นำมาเก็บในรูปCCS ซึ่งการเก็บมีหลายรูปแบบ  โดยรูปแบบหนึ่งที่นำไปใช้กับ 200 โครงการทั่วโลก คือ  เอาไปเก็บในชั้นน้ำที่อยู่ถัดจากผิวทะเลลงไปโดยมีหินปิดทับ 

อย่างไรก็ตาม CCS  จะเกิดได้เป็นรูปธรรมในไทยยังต้องมีความร่วมมือกับหลายฝ่าย และ มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ คือ 1.ใครมีสิทธิ์ทำบ้าง รูปแบบ ต้องมีไลเซ่นหรือไม่  2.การกำหนดผลตอบแทนการลงทุนของคาร์บอนเครดิต 3. ภาระความรับผิดชอบในการติดตามคาร์บอนที่ถูกเก็บไว้ใต้น้ำ ซึ่งปกติใช้เวลา 10-15 ปี

.“สิ่งสำคัญ ไทยต้องกำหนด 3 แนวทางดังกล่าว ตั้งแต่ใครมีสิทธิ์ได้บ้าง วิธีการทำ   ใช้การสำรวจหรือเปิดประมูล ต้องมีความชัดเจน  ซึ่งปตท.สผ.มีความพร้อม และทดลองนำร่องไปก่อน เพราะมีความรู้เรื่องการขุดเจาะ ในต่างประเทศทำไปแล้ว  200-300 โครงการ บางประเทศกลายเป็นธุรกิจไปแล้วมีคนมารับทำ  ให้คนที่ปล่อยคาร์บอนตามโรงงงานต่างๆ แปลงคาร์บอนเป็นของเหลวติดลบ 26 องศา   แล้วมีคนเก็บไว้ให้และคิดค่าดำเนินการ”

สำหรับประเทศไทยโครงสร้างธรณีวิทยาในอ่าวไทยตอนบนเหมาะสมมากกับการทำ CCS   สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจว่าการเก็บคาร์บอนไม่ใช่การเก็บสารพิษ  ในยุโรป ออสเตรเลีย ได้เริ่มทำโครงการนี้มาก แต่ไทยยังพัฒนาช้า  ถ้าดูแผนแม่บทของชาติ มีเป้าหมาย Net Zero  ปี 2065  ต้องลดคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทั่วประเทศปล่อยไว้ 300 ล้านตันต่อปี ลงมาเหลือศูนย์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคาร์บอนฯอยู่ในภารขนส่งเป็นหลัก  ถ้าคิดแบบไม่ทำอะไรเลยแต่ใช้การปลูกป่ามาดูดคาร์บอนฯ  ป่า 1 ไร่ เก็บคาร์บอนฯ 2 ล้านตัน  ขณะที่ไทยมีป่าอยู่  300 กว่าล้านไร่  เทียบกับมีคาร์บอนฯ 300 ล้านตัน ต้องแปลงประเทศไทยครึ่งหนึ่งให้เป็นป่า ซึ่งเป็นไปไม่ได้

มนตรี กล่าวว่า แนวทางที่จะทำได้ คือ ลดการใช้น้ำมันที่ปล่อยคาร์บอนฯเปลี่ยนสภาพรถให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า(EV) แต่อย่าลืมว่ารถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซ  แม้ลดใช้น้ำมันได้  หรือการปลูกป่าเพิ่มคำนวณแล้วยังเหลืออีก 40 ล้านตัน ควรทำ CCS  ซึ่งการเริ่มทำโครงการนำร่องที่แหล่งอาทิตย์  ทำได้แค่ 1 ล้านตันต่อปี  ถ้าภาครัฐไม่กลับมาตอบโจทย์ 3 ข้อให้ได้ มันช้าไป  จึงต้องการนำร่องโครงการไปก่อน จะรอให้มีกฏระเบียบออกมาเพื่อลดคาร์บอนฯ 40 ล้านตันให้ได้ภายในปี 2040 เหลือเวลา 17 ปี  ไม่ใช่เรื่องง่าย

ปัจจุบันนอกจากปตท.สผ.แล้วยังไม่มีบริษัทต่างชาติไหนเข้ามาทำ CCS  เนื่องจากยังมีการลงทุนไม่เยอะ แต่เค้าไปทำในพื้นที่อื่นๆ  มีบริษัทต่างชาติมาเสนอว่าถ้าโมเดลนี้ทำเป็นธุรกิจได้ ดังนั้นธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอนาตจะเปลี่ยนไปในรูปแบบการกักเก็บคาร์บอน ตราบใดที่เราใช้ก๊าซฯก็ยังมีการปล่อยคาร์บอนฯ จะเลิกไปก็ต่อเมื่อมีพลังงานรูปแบบใหม่มา ซึ่งยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และคงทำไม่ได้เร็ว เพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยใช้ก๊าซเป็นหลัก

อยากเสนอตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่นเป็นแนวคิดญี่ปุ่นที่เท่ห์มาก เลือกเมืองต้นแบบแห่งหนึ่งที่มีโรงกลั่นนั้นใกล้ทะเล  โดยประกาศจะเป็นเมืองแรกที่ทำ CCS  เริ่มทำสำรวจความเห็นจากประชาชน จะเอาคาร์บอนจากโรงกลั่นฯเจาะหลุมไปทิ้งในทะเล 2 แห่ง  ใช้เวลา 2ปี ทุกคนสนับสนุนและได้รับรับงบจากภาครัฐ  สามารถฝังคาร์บอนฯลงไปได้ 2 แสนตัน ขณะนี้หยุดมา 2-3 ปี อยู่ในช่วงการตรวจวัดคุณภาพว่าคาร์บอนฯในการเก็บ

อย่างไรก็ตามอยากทำความเข้าใจว่าไม่ใช่หยุดผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วคุณภาพชีวิตจะดีขึ้นได้  เพราะยังไม่มีอะไรมาทดแทน  ไม่ว่าจะมีนโยบายพลังงานทดแทนเข้ามาใช้มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นหากมองในด้านความมั่นคงพลังงาน เมื่อมีการใช้ก๊าซเป็นหลัก ขณะที่ก๊าซที่ผลิตอยู่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จำเป็นต้องมาช่วยกันว่าสามารถแยกและกักเก็บใต้ดินได้  ซึ่งต้องสื่อสารจะไม่กระทบสิ่งแวดล้อม  

TAGS: #ปตท.สผ. #CCS #แหล่งอาทิตย์ #คาร์บอนไดออกไซด์