หุ้นไทยถูกที่สุดอันดับ 5 ในรอบ 16 ปี เป็นจังหวะซื้อหุ้น Mega Trend

หุ้นไทยถูกที่สุดอันดับ 5 ในรอบ 16 ปี  เป็นจังหวะซื้อหุ้น Mega Trend
ทรีนีตี้ ชี้เฟด-สภาพคล่องหด กดหุ้นครึ่งปีหลัง หุ้นไทยถูกที่สุดอันดับ 5 ในรอบ 16 ปี เป็นจังหวะซื้อหุ้น Mega Trend

 

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุน ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว และทิศทาง Fund Flow โลกยังคงอ่อนแอกว่าช่วงต้นไตรมาส 3-4 ตลาดหุ้นจะขึ้นต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเติบโตเศรษฐกิจ หลังดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐน่าจะถึงจุดสูงสุดในปลายไตรมาส 3 แล้ว 

โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยอย่างจริงจังในปลายไตรมาส 3 จะหนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบสนองในทางบวกในไตรมาส 4 ในทางกลับกันถ้าเฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยทันทีตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนเป็นลบเพราะเป็นการตอกย้ำว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิ.ย.เฟดยังส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยอีกเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลข Core PCE โดยที่ FOMC คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในไตรมาส 3 นี้ (อาจจะเป็นปลายเดือนก.ค.) เพราะยังไม่สบายใจกับตัวเลข Core PCE ที่ยังไม่ปรับตัวลดลงที่ยังคงอยู่ระดับ 4.7%

“ตลาดหุ้นทั่วโลกไตรมาส 3 มีโอกาสปรับตัวลดลงเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง และสภาพคล่องทั่วโลกจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญและจะกดดันให้ตลาดหุ้นโลกและไทยในช่วงไตรมาส 3 อ่อนแอลง” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว

สภาพคล่องในตลาดโลกกำลังลดลงจาก 7 สาเหตุ ได้แก่

 1.เฟดอาจจะต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับเม็ดเงินกว่า US$ 6.5 แสนล้านเหรียญ ภายในครึ่งปีหลังของปี2566  ผ่าน Treasury General Account ซึ่งเป็นผลจากมาตรการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สาธารณะ (Debt Ceiling)

  2.ธนาคารกลางยุโรปจะต้องคืนเงิน LTRO กว่า 4.8 แสนล้านยูโร ในเดือนมิ.ย.- ก.ค.

 3.Dot Plot ของเฟด มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.25% 0.50% ในไตรมาส 3 หลังจากที่เฟดได้หยุดการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.

 4.ความสนใจในการทำ QT ของเฟดอาจจะมีอีกครั้งและอาจจะถึงเดือนละ US$ 9.5 หมื่นล้าน จากปัจจุบันที่US$7.8 หมื่นล้านเหรียญ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะนำไปสู่การแข็งค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นมากกว่า 2-3% แต่เป็นรอบท้ายๆ ของการแข็งค่าของดอลลาร์

 5. สัญญาณทางตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งตลาดการเงิน และเศรษฐกิจทั่วโลก กำลังบ่งบอกเศรษฐกิจกำลังถดถอยอย่างมีนัยสำคัญ เช่น Inverted Yield Curve ของ Bond Yield สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี1982 บ่งบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่การถดถอยในไตรมาส 4 ปีนี้หรือปีหน้าและตัวเลข PMI ที่ตกต่ำลง

 6. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐอาจจะลดลงจากปัจจุบัน  2 แสน-3 แสนตำแหน่งต่อเดือน มาสู่ระดับต่ำกว่า 1 แสนตำแหน่งต่อเดือนในไตรมาส 4

7. สำหรับ SET Index ปริมาณเงินในระบบของไทย (M2 growth) เติบโตต่ำสุดตั้งแต่ปี ในรอบ 15 ปี นับจากปี 2551 โดย M2 growth จะเป็นตัวชี้นำของ SET Index ล่วงหน้า และการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายบุคคลจะลดลง อย่างมีนัย แต่นักลงทุนสถาบันจะเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเนื่องจาก Earning Yield Gap ของตลาดหุ้นเมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรไทยอยู่ในระดับน่าสนใจ บ่งบอกดัชนีเป้าหมายที่ 1552

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในไตรมาส 4 น่าจะฟื้นตัว หลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วช่วงไตรมาส 3  จาก 1. การอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐ และเฟดมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 1 ปี 2567

2. มองตลาดทุนในตลาดเกิดใหม่จะ Outperform ในไตรมาส 4 เนื่องจากในเอเชียได้ผลกระทบจาก Interest shock น้อยกว่าตลาดหุ้น ในกลุ่มประเทศพัฒนาส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะ Outperform ตลาดหุ้นจีนจะมีการฟื้นตัวในไตรมาส 3 นี้ 

3. มอง Bond Yield 10 ปีของสหรัฐได้ถึงจุดสูงสุดไปแล้วที่ระดับ 4.3% หรือกว่า 8 เดือนที่แล้วแต่ Fed Fund Rate อาจจะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 3 และหยุดการขึ้นดอกเบี้ย และมองกนง.ของประเทศไทยจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 3

การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกำลังสะท้อนความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายที่มีผลต่อตลาดทุนขณะที่นักลงทุนขายสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาทตั้งแต่ปี 2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนพฤษภาคมที่ขายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 3.3 หมื่นล้าน และคาดว่าการขายของนักลงทุนต่างประเทศลดลง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่จะหนุนเศรษฐกิจคือ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมาและมีสัดส่วนมากกว่า 10% ของจีดีพี  รวมถึงการส่งออกไทยฟื้นตัวไตรมาส 4 โดยปกติการส่งออกของไทยจะอยู่ในช่วงเฉลี่ยเดือนละ 21,000-23,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ฐานต่ำในไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ระดับ 21,933 อาจทำให้เราเห็นการเติบโตของ Export ในไตรมาส 4 ปีนี้

“ดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1450 จุด ถูกเป็นอันดับที่ 5 ในรอบ 16 ปี ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิด Covid รอบ 2 ในกลางปี2021 และถือเป็นจุดที่น่าลงทุนในระยะกลาง Valuation ปัจจุบัน P/BV ที่ 1.44 เท่า” ดร.วิศิษฐ์กล่าว

 ด้านกลยุทธ์มองว่าการลงทุนใน Mega Trend เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเอลนีโญ ซึ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นในครึ่งแรกของปี 2567 หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก AI Growth ทั่วโลก และหุ้นไทยที่มีการเติบโตทั้ง Yoy และ QoQ ในไตรมาส 2 เช่น BBL BEM CPALL CPAXT KTB MINT และมองกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากSearching for Yields (เงินปันผลมากกว่าอัตราผลตอบแทนรัฐบาล 10 ปี)

TAGS: #ตลาดหุ้นไทย #fed #SET