ส่องกลยุทธ์ “สิวารมณ์” อสังฯหารุ่นเล็กพริกขี้หนู สร้างผลงานเติบโตกว่าคู่แข่ง 2-3 เท่า

ส่องกลยุทธ์ “สิวารมณ์” อสังฯหารุ่นเล็กพริกขี้หนู สร้างผลงานเติบโตกว่าคู่แข่ง 2-3 เท่า
บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR หนึ่งในผู้เล่นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถึงแม้จะธุรกิจจะมีไซต์เล็กเมื่อเทียบกับผู้เล่นในตลาดเดียวกัน แต่ความแจ๋วนั้นไม่แพ้รายใหญ่

 

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 การเลือกซื้อบ้าน หรือคอนโด นอกจากการพิจารณาวัสดุที่ใช้แล้วสิ่งที่ผู้บริโภคอยากได้รับคือออปชั่นของเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกสบาย รวมถึงทำเลของโครงการนั้น คุ้มค่าพอที่จะยอมควักเงินและลากกระเป๋าเข้าไปอาศัยอยู่หรือไม่

บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR หนึ่งในผู้เล่นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถึงแม้จะธุรกิจจะมีไซต์เล็กเมื่อเทียบกับผู้เล่นในตลาดเดียวกัน แต่ความแจ๋วนั้นไม่แพ้รายใหญ่เลย ด้วยกลยุทธ์ที่ “สิวารมณ์” นำมาใช้ คือโครงการทุกพื้นที่ บ้านทุกหลังที่ลูกค้าได้รับจะต้องมีความคุ้มค่า

รณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส “สิวารมณ์”  กล่าวว่า บริษัทจะสร้างบ้านที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้าทุกราย หรือเรียกว่า premium economy ซึ่งหมายความว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ลูกค้าต้องชั่งน้ำหนักกับโครงการอื่นแล้วว่าโครงการของ “สิวารมณ์” ให้มากกว่าโครงการอื่น

ซึ่งหลักยุทศาสตร์ที่บริษัทนำมาใช้ออกแบบบ้านเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าคือ “Best Smart living” ซึ่งประกอบไปด้วย 4 อย่าง ได้แก่

-Smart Location : ที่ดินทุกแปลงจะต้องอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก สาธารณูปโภคพร้อม

-Smart fucntion : ประโยชน์ใช้สอยเยอะ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทุนเจนเนอเรชั่น

-Smart Home : มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่เข้ามาตอบโจทย์ เพื่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

-Smart Value : ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง สาธารณูปโภคดีด้วยราคาที่คุ้มค่า

สำหรับ จุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทโดดเด่นคือ การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบหมุนเร็ว โดยบริษัทสามารถสร้างและโอนขายให้จบภายในสองปี พร้อมกันนี้ยังได้เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่บนที่ดินต่างทำเลไปพร้อมกันในหลายพื้นที่ ประกอบกับในแต่ละโครงการมีขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีรายได้สูงกว่าคู่แข่งประมาณ 2-3 เท่า ด้วยเงินทุนและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการที่เท่ากัน

นอกจากนี้ บริษัทยังใช้หลักการก่อสร้างเร็ว ขายเร็ว ส่งมอบเร็ว โดยใช้วิธีก่อสร้างด้วยระบบ Precast (พรีคาสท์) เพื่อลดระยะเวลาในการก่อสร้าง โดยบ้านเดี่ยวจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน, บ้านแฝดใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนครึ่ง, ส่วนทาวเฮาส์ ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งการที่บริษัทสร้างเร็ว ทำให้จ่ายดอกเบี้ยการกู้ก่อสร้างมีระยะเวลาสั้นลง ต้นทุนการก่อสร้างลดลง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ดี

รณฤทธิ์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ว่า บริษัทมีความพร้อมเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่ได้เปิดจองหุ้นไอพีโอ(IPO)ไปได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี และถึงแม้จะเป็นอสังหาริมทรัพย์บริษัทขนาดเล็ก แต่การเติบโตจะเป็นแบบ HIGH GROWTH และอยู่ในสายตาของผู้ลงทุนไปอีกนาน

ซึ่งการที่บริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ นั้นถือเป็นการเปิดโอกาส ให้บริษัทสามรถจัดหาเงินทุนจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม นอกเหนือจากสถาบันการเงินได้ ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการขยายธุรกิจให้เติบโตต่อไปในอนาคต

สำหรับแผนธุรกิจหลังเข้าระดมทุน คือ ยังคงมุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ โดยเน้นกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือวัยทำงานซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่สำคัญเป็นกลุ่ม Real Demand ที่ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจจะไม่ดีแต่ลูกค้ากลุ่มนี้ยังคงมองว่า “บ้าน” คือปัจจัย 4 ที่ต้องซื้อ

ซึ่ง “รณฤทธิ์ “ ได้กล่าวถึงเป้าหมายของ “สิวรมณ์” ในอนาคตว่า อยากให้นักลงทุนจดจำในฐานะหุ้น HIGH GROWTH - HIGH RETURN ย้อนดูจากผลประกอบการในอดีต 3 ปีที่ผ่านมาช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทสามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจในประเทศกำลังจะฟื้นตัว บริษัทจึงเชื่อว่าต่อจากนี้ “สิวรมณ์” จะเติบโตได้ดีกว่าช่วงที่ผ่านมา

 

 

 

 

TAGS: #สิวารมณ์ #SVR