KTAM ออกกองทุนผสม “KTWC Series” เปิดขายครั้งแรก 2-11 ส.ค.นี้ เปิดโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาวภายใต้ทุกสภาวะตลาด คัดสรรโดยผู้จัดการกองทุนระดับโลก
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการสร้างผลตอบแทนภายใต้ทุกสภาวะตลาด ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนแบบผสม ในสินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลก ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก บริษัทฯ จึงได้เปิดเสนอขาย Krungthai World Class Series Fund (KTWC Series) ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุนที่บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนจาก Fidelity International โดยเริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 2 – 11 สิงหาคม 2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท โดยสามารถลงทุนได้ผ่านธนาคารกรุงไทย รวมถึงแอปพลิเคชัน Next และ KTAM Smart Trade
KTWC Series เป็นกองทุนผสมที่มี 3 กองทุนให้เลือกลงทุนตามเป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่รับได้ โดยคัดเลือกกองทุนชั้นนำระดับโลกที่มีคุณภาพดี เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และ/หรือกองทุนรวม ETF ในต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ทรัพย์สินทาเลือก เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่า และอาจลงทุนในกองทุน Infra และ/หรือกองทุน Property และ/หรือหน่วย Private Equity และ/หรือหลักทรัพย์หรือ ทรัพย์สินอื่นใดตามที่กฎหมาย ก.ล.ต.กําหนดในต่างประเทศ โดยกองทุนจะลงทุนอย่างน้อยตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไปโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV และจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่เกิน 79% ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ตามความเหมาะสมสาหรับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน
สำหรับกลุ่มกองทุน KTWC Series ประกอบด้วย 3 กองทุน ได้แก่ 1) Krungthai World Class Defensive (KTWC-DEFENSIVE) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5) มีกรอบการลงทุนเฉลี่ยระยะยาวในตราสารหนี้ 85% หุ้น 15% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ* เน้นลงทุนระยะยาว 3 – 5 ปี และต้องการลงทุนเพื่อโอกาสในการชนะเงินเฟ้อ และรับความผันผวนได้บ้าง 2) Krungthai World Class Moderate (KTWC-MODERATE) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5) มีกรอบการลงทุนเฉลี่ยระยะยาวในตราสารหนี้ 50% หุ้น 50% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง* เน้นลงทุนระยะยาว 3 – 5 ปี และต้องการลงทุนเพื่อเน้นการเติบโตของเงินลงทุน และอยากกระจายการลงทุน สามารถรับความผันผวนระหว่างทางได้ และ 3) Krungthai World Class Growth (KTWC-GROWTH) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5) มีกรอบการลงทุนเฉลี่ยระยะยาวในตราสารหนี้ 20% หุ้น 80% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง* เน้นลงทุนระยะยาว 3 –7 ปี และต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงและรับความผันผวนระหว่างทางได้ โดยสัดส่วนการลงทุนทั้ง 3 กองทุน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน (ที่มา: KTAM และ Fidelity International ข้อมูล ณ วันที่ 14 ก.ค. 2566) (หมายเหตุ *ไม่ใช่ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ตามผลประเมิน Suitability)
โดยจุดเด่นของกลุ่มกองทุน KTWC Series มาจากกระบวนการลงทุนที่นำมาใช้ประกอบด้วยวิธีการหลากหลายเข้าด้วยกัน อิงจากการวิเคราะห์อย่างละเอียดตามขั้นตอน ได้แก่ 1) ออกแบบ (Design) ด้วยการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Asset Allocation : SAA) โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการและผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุนในระยะยาว 2) คัดเลือก (Select) กลยุทธ์และเครื่องมือในการลงทุนผ่านกระบวนการที่เข้มงวด โดยใช้การวิเคราะห์เชิงลึก ทั้งการวิเคราะห์เชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ และ 3) ปรับปรุง (Adjust) ด้วยการปรับสัดส่วนการลงทุนไปตามสภาวะตลาด (Tactical Asset Allocation : TAA) โดยใช้การวิจัยและมุมมองเชิงมหภาค ผสมผสานทั้งการลงทุนในระยะสั้น กลาง และยาวให้เหมาะสม ทั้งนี้ กองทุนได้กำหนดแนวทางการลงทุนไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 ลงทุนโดยตรงในแต่ละกองทุน ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ (ไม่ใช่ระดับความเสี่ยงที่ได้จากผลการประเมิน Suitability ของผู้ลงทุน) และแนวทางที่ 2 คือใช้เป็นสัดส่วนการลงทุนส่วนหลัก (Core Port) เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตการลงทุน
“จากปัจจัยต่างๆ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน อาทิเช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุน และยังทำให้ธนาคารหลายแห่งเจอปัญหาสภาพคล่อง รวมถึงเรื่องของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ต่างก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงในรูปแบบของกองทุนรวมผสมจึงเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาดได้ โดยกลุ่มกองทุน KTWC นับว่าเป็นกองทุนที่มีเน้นการจัดพอร์ตให้อย่างลงตัว เพราะมีทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก ที่จะให้โอกาสรับผลตอบแทนที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ทั้งยังมีการปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing) เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงและสภาวะเศรษฐกิจ โดยอาจจะมีการขายหุ้นออกบ้างหลังจากภาวะตลาดขาขึ้น หรือซื้อหุ้นเพิ่มบ้างในช่วงตลาดขาลง พร้อมทั้งพยายามสร้างผลตอบแทนระยะสั้นด้วยการใช้ Tactical Asset Allocation อีกทั้ง ยังบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีการติดตามและปรับเปลี่ยนการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วย” นางชวินดา กล่าว
โดยบริษัทจัดการได้มอบหมายให้ FIL Investment (Hong Kong) Limited ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Fidelity International เป็นผู้รับมอบหมายงานด้านจัดการลงทุน โดยไม่รวมในส่วนการลงทุนเพื่อสภาพคล่อง และจากความเชี่ยวชาญระดับโลกด้านการลงทุนรวมถึงการจัดการพอร์ตโฟลิโอของ Fidelity International ร่วมกันกับเครือข่ายที่กว้างขวาง และเข้าใจความต้องการของนักลงทุนไทยอย่างถ่องแท้ของ บลจ.กรุงไทย และธนาคารกรุงไทย จึงนับว่าเป็นอีกจุดเด่นที่แข็งแกร่งที่ช่วยให้กองทุนนี้ เข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนได้อย่างมีคุณภาพยิ่งขึ้น