KCG ครึ่งปีหลังเติบโตได้ดี หลังเข้าสู่ช่วงเทศกาล เตรียมออกสินค้าใหม่เพิ่ม ภาพรวมปี 66 มั่นใจรายได้เติบโต 2 ดิจิต พร้อมลุยขยายกำลังการผลิตชีส เนยต่อเนื่อง
วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทฯมั่นใจผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีโดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเข้าสู่ช่วงเทศกาลผู้บริโภคนิยมนำขนมไปมอบเป็นของขวัญให้แก่คนสำคัญ
รวมถึงครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯยังมีแผนออกสินค้าใหม่เพิ่มเติม หลังจากที่ไตรมาส 1/2566 ได้ออกสินค้าใหม่ไปบางส่วนแล้ว ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทฯวางไว้ว่าจะออกสินค้าใหม่ปีละ 10-15 รายการ ส่งผลให้ภาพรวมปี 2566 เชือว่ารายได้จะสามารถเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่บริษัทฯมีรายได้อยู่ที่ 6,157 ล้านบาท
"ปกติเราจะออกสินค้าใหม่ไม่เยอะ เราจะเน้นออกสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้า ดีไซน์ รวมถึงราคาต้องสามารถเข้าถึงได้ด้วย ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็งที่เราพึ่งเข้าไป ถือว่าเป็นการเพิ่มพอร์ตสินค้าของเราให้ดูหลากหลายมากขึ้น" วาทิต กล่าว
ในส่วนของภาพรวมตลาดต่างประเทศบริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน และประเทศใหญ่ ๆ นอกอาเซียน เช่น อินเดีย จีน เป็นต้น โดยกลยุทธ์ในการขยายตลาดต่างประเทศจะเข้าไปในรูปแบบ B2B (Business-to-Business) ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้บริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น จากปี2565 อยู่ที่ 4.5%
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในปี 2566-2567 โดยมุ่งลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนยที่โรงงานเทพารักษ์ จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ภายในปี 2567 รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจร อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าได้อย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งตามชนิดผลิตภัณฑ์ (Product Layout) เทียบเท่ามาตรฐาน GMP C และ GMP D ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรป รวมทั้งวางแผนการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาพัฒนาโรงงานสู่การผลิตระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2567
วาทิต กล่าวเพิ่มเติมถึงราคาหุ้น KCG ที่เข้าเทรดวันแรกโดยเปิดที่ 8.55 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือคิดเป็น 0.59% จากราคาIPO ที่ 8.50 บาท โดยมองว่านักลงทุนให้ความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัท แต่สิ่งสำคัญหลังจากเข้าตลาดฯแล้วคือบริษัทฯจะเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่ให้ไว้แก่นักลงทุน