KCG ประกาศแผนลงทุนหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุ่มงบกว่า 1,270 ล้านบาท ผุดศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบแช่แข็งครบวงจร
ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าแผนการดำเนินงาน 3 ปี (2566-2568) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบการลงทุนกว่า 1,270 ล้านบาท โดยปี 2566-2567 ลงทุน 297 ล้านบาท เพื่อสร้าง “KCG Logistics Park” หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบกระสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) และคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจรที่สุด ณ โรงงาน เทพารักษ์ คาดจะแล้วเสร็จในปี 2567 ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน จะใช้เงินลงทุน 47 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อรองรับแผนขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีสและเนย ที่โรงงานเทพารักษ์ รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี รองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้แผนงานครึ่งปีหลังของ KCG ได้ตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์เนยและชีสสอดรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและตอบโจทย์ความสะดวกสบาย รวมทั้งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ร้านสะดวกซื้อ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งกลุ่มผู้บริโภค (B2C) และกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) อย่างต่อเนื่อง
ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารตะวันตกและเบเกอรี่ในช่วงครึ่งปีหลังมีศักยภาพเติบโตสูง จากปัจจัยบวกของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จัดเลี้ยง (HORECA) เพิ่มขึ้น
อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม อาทิ ผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากนม กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits)ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ ของกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (B2C) และกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) ขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่ารายได้เติบโตได้ตามเป้าหมาย
ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ของ KCG ที่ 6,518-7,936 ล้านบาท หรือเทียบเป็นราคา 12.0-14.6 บาท/หุ้น จากแผนงานสร้างการเติบโตอย่างชัดเจนในช่วงระยะ 2-3 ปีข้างหน้าประกอบกับธุรกิจมีความมั่นคงและยืดหยุ่น ฟื้นตัวเร็วจากวิกฤตโควิด รวมถึงมีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่มีคุณภาพ และมีราคาที่สอดรับกำลังซื้อของทุกกลุ่มเป้าหมาย
โดย Euromonitor คาดการณ์การเติบโตเฉลี่ย ของมูลค่าตลาดเนยและชีสในประเทศไทยปี 2566-2569 อยู่ที่ 6-8% ต่อปี จึงคาดการณ์กำไรที่มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2566-2568 อยู่ที่ 20.3% จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มเดิม (organic growth) รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัว