MCA หนึ่งในผู้นำเอเจนซี่ มาร์เก็ตติ้ง ที่กล้ารับเป้าหมาย KPI สร้างผลงานไปพร้อมกับลูกค้า และมีเทคโนโลยีที่จะช่วยทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ต่อยอดทางกลยุทธ์ที่ดี เพื่อปูทางก้าวสู่การเป็น MARTECH ในอนาคต
การขยายตัวของเทคโนโลยีหลังจากเกิดโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจปรับตัวก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล สำหรับธุรกิจเอเจนซี่ มาร์เก็ตติ้ง ก็เช่นกัน หลายบริษัทต่างหากลยุทธ์มัดใจลูกค้าให้รู้สึกว่าใช้บริการแล้วคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายไป แต่เมื่อความเชื่อใจไม่ได้วัดจากเพียงคำพูดเท่านั้น การแสดงผ่านผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรมก็สำคัญเช่นกัน
The Better ได้มีโอกาสพูดคุยกับ บริษัท มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) MCA หนึ่งในผู้นำเอเจนซี่ มาร์เก็ตติ้ง ที่กล้ารับเป้าหมาย KPI สร้างผลงานไปพร้อมกับลูกค้า และยังมีความน่าสนใจกับเทคโนโลยีที่จะช่วยทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเป็นข้อมูลต่อยอดทางกลยุทธ์ที่ดี ไม่แน่ว่า บริษัทอาจก้าวเข้าสู่การเป็น MARTECH ในอนาคต
ภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MCA กล่าวว่า หัวใจสำคัญของธุรกิจบริการต้องสามารถวัดกันได้ที่ผลงาน อย่างการทำเอเจนซี่มาร์เก็ตติ้ง สิ่งที่ทำให้ MCA เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดคือการมี KPI ที่จะมาเพิ่มความมั่นใจด้านยอดขายให้แก่ลูกค้าว่าจบกิจกรรมแต่ละครั้งจะมียอดขายและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) คุ้มค่าในระดับใด รวมถึงมีการติดตามผลตอบรับหลังจบงานด้วย ซึ่งทีมงานของ MCA จะมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ศึกษาข้อมูลในแต่ละพื้นที่ที่ต้องไปจัดกิจกรรมทุกครั้งเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยธุรกิจของ MCA จะแบ่งออกเป็น 4 บริการ ได้แก่ 1. บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล (Marketing activities and Digital), 2.บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า (Packing and Logistic), 3. บริการพนักงานแนะนำสินค้า (Product Consultant) และ 4. บริการจัดเรียงสินค้า (Merchandiser) นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายสู่การดำเนินธุรกิจใหม่ ในการเข้าไปเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) หลังมองเห็นถึงโอกาสในการดำเนินธุรกิจและยังสอดรับกับกลยุทธ์การจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดของ MCA ทั้ง 4 กลุ่มในปัจจุบัน
"งานบริการเราต้องวัดกันที่ผลงาน ถ้าผลงานดีเขาก็อยากใช้บริการเรามันคือพื้นฐาน ถ้าเกิดคุณไปทำงานเขาพังไปทำงานแล้วไม่ได้ KPI เขาจะอยากจ้างเราต่อไหม? เพราะฉะนั้นบอกเลยว่า DNA ของเราคือเชื่อใจ วัดผลได้อย่างมืออาชีพ กว่าจะสร้างให้ลูกค้าเชื่อใจในผลงานที่ไม่ใช่ด้วยคำพูดก็ต้องทำงานหนักพอสมควร" ภักดี กล่าว
**เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai**
เพราะพนักงานคือหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยทำให้องค์กรแข็งแกร่ง อีกสิ่งหนึ่งที่ MCA ให้ความสำคัญคือการปลุกปั้นบุคลากรให้มีคุณภาพ และเข้มงวดในเรื่องของการทำเอกสารและสัญญาทุกกระบวนการ ซึ่งถือเป็นข้อดีของการทำงานกับลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ดังนั้นบริษัทฯจึงไม่มีความกังวลสำหรับการเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้น
ซึ่ง MCA ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ราคาเสนอขายหุ้นละ 3.30 บาท ระยะเวลาเสนอขายวันที่ 16 - 18 ตุลาคม 2566 และเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 26 ตุลาคม 2566
และการที่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มองว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยแผนการใช้เงินระดมทุนหลังจากนี้บริษัทฯ เตรียมนำไปขยายธุรกิจเดิม พร้อมขยายสเกลงาน เช่น บริษัทฯ สามารถรับงานโครงการใหญ่ขึ้น หากมองให้เห็นภาพคือ จำนวนพนักงานแบบชั่วคราว (Outsource) จาก 200-300 คน เพิ่มเป็น 500 คน ได้ทันที เป็นต้น นอกจากนี้ จะนำเงินไปลงทุนขยายธุรกิจ Distributor ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ ที่มีโอกาสการเติบโตอยู่มาก
เมื่อบริษัทฯ ต้องบริหารพนักงานจำนวนมาก "เราจึงให้ความกับเรื่องเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการลงทุนไปเทคโนโลยีไปไม่น้อย เพราะเราต้องดีลพนักงานเป็นหลักพันคน เพราะฉะนั้นจะมาใช้วิธีดั้งเดิมเหมือนสมัยก่อนไม่ได้ เรามีแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ มีการส่งสัญญางานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ น้องที่สมัครก็สามารถกดรับงาน มีการเช็คอิน เช็คเอ้าท์งานได้ และนอกเหนือจากระบบแล้ว การมอนิเตอร์ก็สำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่เราส่งพนักงานไปเพื่อช่วยสนับสนุนงานขาย ถ้าคนของเราขี้เกียจเราจะคิดว่าเขาจะโทรมาฟ้องเราไหม อันนี้คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ยังไงเราก็ไม่สามารถเฝ้าดูได้ตลอดเวลาทั่วประเทศ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดของเราก็คือ เขาเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าแผนก ผู้จัดการสาขา รปภ. แม่บ้านทุกคนเป็นหูเป็นตาให้กับเรา ถ้านักลงทุนถามว่าเรามีคอนเนคชั่นเป็นใคร คอนเนคชั่นของเราคือบุคคลเหล่านี้ สุดท้ายที่เขาช่วยดูเด็กให้เราก็คือเขาก็อยากได้ยอด เพราะเขาก็อยากขายของได้เหมือนกัน เรามองเป้าหมายเดียวกัน เวลาเราบอกลูกค้าเราจะบอกว่าเราสำเร็จไม่ 100% นะ แต่เราจะต้องเกิน 95% แต่ในเปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะมาทำให้คุณรู้สึกว่าคุ้มค่าแน่นอน" ภักดี กล่าว