การแบ่งเวลาออกกำลังกายสั้น ๆ แต่ถี่ขึ้น อาจดีต่อสุขภาพมากกว่าออกแรงในยิมครั้งละนาน ๆ เพียงออกกำลังกายในระดับหนักพอควร วันละ 11 นาที จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้
CNN เผยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษพบหลักฐานบ่งชี้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิ่ง หรือเล่นกีฬาแบบจริงจังเพื่อให้ได้ถึงประโยชน์ของการออกกำลังกาย
เพราะเพียงแค่เพิ่มการเดินออกกำลังกายอย่างกระฉับกระเฉงเป็นกิจวัตรประจำวันก็จะช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การกีฬาของอังกฤษ (British Journal of Sports Medicine) พบว่า ถ้าทุกคนเดินออกกำลังกายในระดับหนักพอควร เพียงวันละ 11 นาที จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้คิดเป็น 1 ใน 10 ราย
การแบ่งเวลาออกกำลังกายสั้น ๆ แต่ถี่ขึ้น อาจดีต่อสุขภาพมากกว่าออกแรงในยิมครั้งละนาน ๆ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การกีฬาของอังกฤษ (British Journal of Sports Medicine) พบว่า ถ้าทุกคนเดินออกกำลังกายในระดับหนักพอควร เพียงวันละ 11 นาที ก็จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ 1 ใน 10 ราย
ออกกำลังกายช่วงสั้นหลายครั้งต่อวันอาจลดน้ำหนักได้ดีกว่าเข้ายิม ในสหราชอาณาจักร มีข้อแนะนำให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างเข้มข้นระดับปานกลางถึงระดับสูงสัปดาห์ละ 150 นาที แต่นี่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน ในรายการ Just One Thing นพ.โมสลีย์ ได้พูดคุยกับ พญ.มารี เมอร์ฟีย์ จากมหาวิทยาลัยอัลส์เตอร์ ในไอร์แลนด์เหนือ เพื่อทำความเข้าใจเรื่อง exercise snacking การออกกำลังกายรูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน
exercise snacking เป็นคำเรียกทางวิทยาศาสตร์ที่เปรียบการออกกำลังกายกับการรับประทานขนม หรืออาหารว่าง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ อย่างรวดเร็วระหว่างวัน
งานวิจัยล่าสุดพบหลักฐานบ่งชี้ว่า การแบ่งการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้น ๆ หลายครั้งในระหว่างวันอาจส่งผลดีต่อสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายได้พอ ๆ กับการออกกำลังกายครั้งหนึ่งเป็นเวลานาน โดยงานวิจัยบางชิ้นยังพบว่าการออกกำลังกายรูปแบบนี้อาจช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน และลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น
ทีมนักวิจัยชี้ว่า แม้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะออกกำลังกายไม่ได้ตามข้อแนะนำที่สัปดาห์ละ 150 นาที แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สำนักบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (National Health Service หรือ NHS) แนะนำให้ทุกคนออกกำลังกายระดับหนักพอควร (เหนื่อยจนร้องเพลงไม่ได้ แต่ยังพูดได้) เป็นเวลาสัปดาห์ละ 150-300 นาที หรือออกกำลังกายระดับหนัก (เหนื่อยจนไม่สามารถพูดขณะออกกำลังกายได้) เป็นเวลา 75-150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
งานวิจัยชิ้นนี้ทำโดยวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยหลายร้อยชิ้นเกี่ยวกับประโยชน์ของการออกกำลังกาย และพบข้อมูลที่บ่งชี้ว่า แม้จะทำตามข้อแนะนำเรื่องการออกกำลังกายของหน่วยงานสาธารณสุขเพียงครึ่งหนึ่ง ก็ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 1 ใน 20 ราย และ 1 ใน 30 รายสำหรับโรคมะเร็ง เทียบเท่ากับการออกกำลังกายระดับหนักพอควรเป็นเวลา 75 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การปั่นจักรยาน การเดินเร็ว การเดินขึ้นเขา การเต้น หรือเล่นเทนนิส
นายแพทย์โซเรน บราจ ผู้นำทีมวิจัยชิ้นนี้อธิบายการออกกำลังกายลักษณะนี้ว่า "คุณควรรู้สึกว่าร่างกายได้เคลื่อนไหว หัวใจคุณจะเต้นเร็ว และยังหายใจได้ทัน" ผลการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายในปริมาณนี้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองได้ถึง 17% และช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งได้ 7%
นอกจากนี้ การออกกำลังกายเป็นประจำยังช่วยลดไขมัน และความดันโลหิตสูง ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น และส่งผลดีต่อหัวใจในระยะยาว
การออกกำลังกายยังผลดีเป็นพิเศษในการลดอัตราเสี่ยงการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย แต่ประโยชน์นี้จะลดลงสำหรับมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม
นายแพทย์ บราจ แนะนำว่า ถ้าสามารถออกกำลังกายในระดับหนักพอควรได้สัปดาห์ละ 75 นาทีแล้ว ก็ควรปรับเพิ่มการออกกำลังกายขึ้นทีละน้อยจนถึงระดับที่กำหนด คือ 150 นาทีต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังแนะนำให้นำการออกกำลังกายมาทดแทนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น พยายามเดินหรือปั่นจักรยานไปทำงานหรือออกไปซื้อของแทนการใช้รถยนต์ หรือหากิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายที่ชอบทำเป็นประจำทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ NHS ยังแนะนำให้คนวัยผู้ใหญ่ทำกิจกรรมเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เช่น การเล่นโยคะ พิลาทิส ยกน้ำหนัก รวมทั้งการทำสวนหรือการถือถุงช้อปปิ้งหนัก ๆ เป็นต้น