ถอดสูตรสำเร็จดันเพลงไทยไปตลาดโลก ขับเคลื่อน Thai Music Wave เบื้องหลังความสำเร็จของการผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน
วงการดนตรีไทยกำลังเข้าสู่ยุคทอง เมื่อศิลปินไทยเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดสากลมากขึ้น เห็นได้จากการแจ้งเกิดของศิลปินอย่าง มิลลิ ที่สร้างปรากฏการณ์บนเวทีระดับโลกอย่าง Coachella 2022และโปรเจกต์เกิร์ลกรุ๊ป DREAMGALS ที่ก้าวสู่เวที HYPEFEST HONG KONG 2024 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมดนตรีไทยที่กำลังเติบโต
เบื้องหลังความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดย คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ที่ร่วมกันผลักดันศิลปินไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลผ่านโครงการ Music Exchange ที่ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงศักยภาพของศิลปิน แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมโยงวงการดนตรีไทยกับตลาดโลก
กุญแจสู่ความสำเร็จ: กลยุทธ์ Push & Pull ที่ทำให้เพลงไทยไปไกลกว่าเดิม
นาย พลกฤต ศรีสมุทร ผู้บริหาร YUPP! และหนึ่งในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี อธิบายว่าปัจจุบันตลาดเพลงระดับโลกให้ความสนใจกับศิลปินจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสทองของไทยในการก้าวสู่ตลาดสากล แต่สิ่งที่ทำให้ศิลปินไทยประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ฝีมือเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย กลยุทธ์ที่รอบด้าน ตั้งแต่การพัฒนาทักษะ การสร้างเอกลักษณ์ทางดนตรี การใช้โซเชียลมีเดียและสตรีมมิ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายกับอุตสาหกรรมดนตรีระดับนานาชาติ
เพื่อให้การผลักดันศิลปินไทยเกิดผลจริง โครงการ Music Exchange ได้ใช้กลยุทธ์ Push & Pullที่ช่วยเปิดโอกาสให้ศิลปินไทยได้แสดงผลงานในเวทีนานาชาติ โดย
Push: ผลักดันศิลปินไทยกว่า 48 ราย ให้ได้โชว์ใน 46 เทศกาลดนตรีระดับโลก รวมกว่า 70 โชว์
Pull: ดึงดูดผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมดนตรีระดับโลกให้เข้ามาสนใจตลาดไทย เพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนและร่วมมือกับศิลปินไทย
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยให้ศิลปินไทยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเปิดโอกาสให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างค่ายเพลงไทยและต่างชาติ รวมถึงขยายตลาดเพลงไทยไปยังประเทศใหม่ ๆ
อนาคตของ Thai Music Wave
โครงการ Music Exchange ยังคงเดินหน้าต่อในปี 2025 โดยเน้นการพัฒนาโอกาสให้ศิลปินไทยได้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมดนตรีของภูมิภาคไม่เพียงแค่การส่งออกศิลปิน แต่รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดนตรี ไม่ว่าจะเป็น
- การปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาให้เหมาะกับยุคดิจิทัล
- การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาด้านดนตรีและธุรกิจบันเทิง
- การสร้าง Music Awards และ ฐานข้อมูลดนตรี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เพลงไทยมีพื้นที่ในตลาดโลกมากขึ้น และทำให้วงการดนตรีไทยก้าวไกลกว่าที่เคย ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ Music Exchange ได้ที่ www.cea.or.th และ Facebook: Creative Economy Agency