บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางออก เทรนด์ฮิตที่ซ่อนภัยร้ายเกินคาด

บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางออก เทรนด์ฮิตที่ซ่อนภัยร้ายเกินคาด
ผู้เชี่ยวชาญเตือน! บุหรี่ไฟฟ้าอาจดูทันสมัย แต่แฝงอันตรายต่อสุขภาพที่หลายคนคาดไม่ถึง ตั้งแต่โรคปอดเรื้อรังไปจนถึงสารพิษที่อาจส่งผลร้ายแรงในระยะยาว รู้เท่าทันก่อนสายเกินแก้!

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จ.นนทบุรี ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์แห่งประเทศไทยได้จัดเสวนาและแถลงข่าวในหัวข้อ "หมอไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า: ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรู้" โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาเข้าร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

นพ.ธัญเดช นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้แทนราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์รุนแรงและส่งผลกระทบต่อหลอดเลือด รวมถึงระบบต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทั้งนี้ ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าได้พัฒนา "TOY POD" ซึ่งเป็นบุหรี่ไฟฟ้าทรงการ์ตูนที่มุ่งเป้าหมายไปยังเด็กเล็ก ทำให้เกิดวิกฤตการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในระดับประถมศึกษา ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาใน ICU จากภาวะปอดอักเสบเฉียบพลัน (EVALI)

นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา ผู้แทนราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เสริมว่าบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ไฟฟ้าแบบให้ความร้อน (HTPs) ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอันตราย (Harm Reduction) แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยนิโคตินในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นนิโคตินสังเคราะห์ที่ซึมเข้าสู่สมองได้รวดเร็วและรุนแรงกว่านิโคตินธรรมชาติ และสามารถเติมในปริมาณที่สูงกว่าบุหรี่มวนถึง 100 เท่า นอกจากนี้ ไอของบุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีมากกว่า 2,000 ชนิด ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด ทางเดินหายใจ และปอด รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคมะเร็ง

ผลกระทบต่อสมองและพัฒนาการของเด็ก นพ.ศักดา อาจองค์ วัลลิภากร ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า HTPs ใช้ความร้อนแทนการเผาไหม้ ทำให้ลดการเกิดควันและสารพิษบางชนิด แต่ยังคงมีนิโคตินและสารเคมีอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพ ไอจาก HTPs มีสารพิษ เช่น Tar และสารก่อมะเร็งไนโตรซามีน นอกจากนี้ นิโคตินยังส่งผลกระทบต่อสมองของเด็ก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำและการตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการเรียนรู้ สมาธิสั้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจิตเวช เช่น ซึมเศร้าและโรคจิตเภท

ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้ามือสองและมือสาม

มีงานวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) พบว่า เด็กที่อาศัยในบ้านที่มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคหอบหืด สมาธิสั้น และพัฒนาการล่าช้า หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับไอบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสคลอดก่อนกำหนด และลูกที่เกิดมามีน้ำหนักต่ำกว่าปกติ รวมถึงมีความผิดปกติของสมองและปอด

บุหรี่ไฟฟ้ากับการเสพติด ดร.วรภัทร รัตอาภา ผู้แทนราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารเสพติดที่ทำให้เกิดการเสพติดทั้งทางร่างกายและพฤติกรรม ซึ่งเมื่อใช้ต่อเนื่องจะทำให้เกิดความต้องการนิโคตินมากขึ้น และเมื่อหยุดสูบจะมีอาการถอน เช่น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด และนอนไม่หลับ นอกจากนี้ งานวิจัยพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะหันไปใช้บุหรี่มวน และสารเสพติดอื่น ๆ เช่น แอลกอฮอล์ กัญชา และยาเสพติดประเภทกระตุ้น

โดยมุมมองทางกฎหมาย ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร นักกฎหมายจากเครือข่ายนักสาธารณสุขฯ ชี้ว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าและ HTPs ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมาย เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำลายสุขภาพและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคม การอนุญาตให้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายไม่ได้ช่วยลดปัญหาการระบาด และยังเป็นช่องทางให้เกิดการค้าผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับบุหรี่มวนที่แม้จะถูกกฎหมาย แต่ก็ยังมีตลาดมืดอยู่ถึง 25%

แนวโน้มทั่วโลกต่อการห้ามบุหรี่ไฟฟ้า

รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าจำนวนประเทศที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 34 เป็น 43 ประเทศในปี 2566-2567 เนื่องจากประเทศที่เคยอนุญาตให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนได้ เช่น เวียดนาม คาซัคสถาน และปากีสถาน การศึกษาพบว่าประเทศที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้ามีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนต่ำกว่าประเทศที่ไม่ห้าม เช่น สิงคโปร์ที่มีมาตรการเข้มงวดทำให้อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนลดลงจาก 11.8% ในปี 2560 เหลือ 10.1% ในปี 2563

บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน รวมถึงส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้

TAGS: #บุหรี่ไฟฟ้า #หมอ