เปิดเรื่องราวชีวิตสุดน่าทึ่งของ ‘โป๊ปฟรานซิส’ ผู้นำคริสตจักรจากอาร์เจนตินา ผู้เคยเป็นการ์ดไนท์คลับ ก่อนกลายเป็นประมุขศาสนาอันเรียบง่ายและทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์"
นับว่าป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวคริสต์ทั่วโลก หลังจากที่ทางนครวาติกันได้ประกาศถึงการสิ้นพระชนม์ของโป๊ปฟรานซิส เมื่อเวลา 7.35 น. ตามเวลาของนครวาติกัน หรือตรงกับ 12.35 น. ในเวลาประเทศไทย ด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา
เมื่อพูดถึง “สมเด็จพระสันตะปาปา” หรือ “โป๊ป” หลายคนอาจนึกถึงภาพผู้นำศาสนาผู้เคร่งขรึม อยู่ท่ามกลางพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับ “โป๊ปฟรานซิส” กลับมีเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน อันน่าทึ่ง และแตกต่างจากภาพที่หลายคนคาดไว้
ชื่อจริงของโป๊ปฟรานซิสคือ Jorge Mario Bergoglio ส่วนชื่อ “ฟรานซิส” เป็นชื่อที่พระองค์เลือกขึ้นมาใหม่ เพื่อแสดงออกถึงความเรียบง่ายเหมือนนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี พระองค์มีความรู้ความเข้าใจในด้านวิทยาศาตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์นั้นได้ร่ำเรียนมา และเคยทำงานในห้องแล็บมาก่อนที่จะเป็นนักบวชด้วย อีกทั้งพระองค์ยังมีความสามารถด้านภาษาที่หลากหลาย ทรงพูดภาษาสเปนกับอิตาเลียนได้ รวมถึงยังสามารถพูดภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษได้เช่นกัน
เรื่องราวในชีวิตของพระองค์ก่อนจะเป็นนักบวชยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจก็คือ โป๊ปฟรานซิสเคยเป็นบอดี้การ์ดหน้าผับในบัวโนสไอเรสมาแล้ว ทำให้พระองค์ได้มีประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจ “ชีวิตกลางคืน” และผู้คนจากทุกระดับในสังคมอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดปรานการทำอาหารเองมาตั้งแต่ยังเป็นพระในอาร์เจนตินา อีกทั้งยังเคยเรียนทำขนมอบในวาติกันอีกด้วย โดยเมนูที่ทรงโปรดมากคือพาสต้าแบบง่าย ๆ กับขนมปังอบสดใหม่ และพระองค์ยังมีความสนใจเรื่องฟุตบอลตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงขั้นเป็นแฟนบอลตัวจริงของทีมบ้านเกิดอย่าง San Lorenzo อีกด้วย
โป๊ปฟรานซิสคือ โป๊ปองค์แรกที่มาจากทวีปอเมริกาใต้ (อาร์เจนตินา) ทรงเป็นพระสันตปาปาพระองค์แรกในรอบเกือบ 1,200 ปีที่ไม่ได้มาจากยุโรป ซึ่งหลังจากที่พระองค์ได้รับการสถานปนา พระองค์เลือกที่จะไม่อยู่ในพระราชวังวาติกัน แต่ทรงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในห้องพักเล็กๆ แบบเรียบง่ายในเกสต์เฮาส์ของพระองค์เอง และหลายครั้งที่พระองค์ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ พระองค์เลือกใช้รถยนต์ขนาดเล็กในการเดินทางมากกว่าที่จะนั่งรถยนต์ที่หรูหรา
การดำเนินชีวิตของพระองค์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะก่อนหรือหลังบวช พระองค์ยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเช่นเดิม หรือแม้กระทั่งเมื่อได้รับกาสถานปนาอยู่ในตำแหน่งสูงสุดในฐานะของประมุขแห่งวาติกัน พระองค์ก็ยังคงมั่นคงกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อีกทั้งยังเป็นผู้นำที่กล้าพูดเรื่อง “ความเสมอภาค” เรื่อง“สิ่งแวดล้อม” และ “ความหลากหลายทางเพศ” อย่างเปิดเผย ซึ่งทั้งหมดนี้จึงทำให้พระองค์เป็นที่รักต่อคริสตศาสนิกชนทั่วโลก แม้ว่าในวันนี้พระองค์จะจากไปแล้วก็ตาม