สัญญาณเตือน STROKE (โรคหลอดเลือดสมอง) รู้เร็ว รอดได้ โดยสังเกตง่าย ๆ 4 อาการ หรือที่เรียกว่า "FAST" ย้ำ ห้ามบีบนวด รีบไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย การทำงานของสมองหยุดชะงัก
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ ความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองขาดเลือด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (ischemic stroke)
เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง พบได้ประมาณ 80% หลอดเลือดสมองอุดตันเกิดได้จากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นไหลไปตามกระแสเลือดจนไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง หรืออาจเกิดจากมีลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดสมอง และขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนอุดตันหลอดเลือดสมอง
ส่วนสาเหตุของหลอดเลือดสมองตีบอาจเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง
2. หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke)
พบได้ประมาณ 20% ของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบางร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้บริเวณที่เปราะบางนั้นโป่งพองและแตกออก หรืออาจเกิดจากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดปริแตกได้ง่าย
ซึ่งอันตรายมากเนื่องจากทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างฉับพลันและทำให้เกิดเลือดออกในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้
ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล เผย โรคหลอดเลือดสมองทำให้สมองเสียหายมากกว่าที่คิด โดยปกติสมองของคนเราแต่ละส่วนจะควบคุมการทำงานของร่างกายแตกต่างกันออกไป เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทำลายจะส่งผลต่อการทำหน้าที่ในส่วนนั้น ๆ หากเป็นโรคหลอดเลือดสมองจะส่งผลให้สมองเกิดความเสียหายดังต่อไปนี้
สมองซีกซ้าย
- อัมพาตครึ่งตัวด้านขวา
- ปัญหาการพูด การเข้าใจ ภาษา แบะการกลืน
- สูญเสียการจัดการ การระวังตัว ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง
- เสียการมองเห็นภาพซีกขวาของตาทั้งสองข้าง
สมองซีกขวา
- อัมพาตครึ่งตัวด้านซ้าย
- สูญเสียความสามารถในการประเมินขนาด และประมาณระยะทาง
- สูญเสียการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ โดยไม่วางแผน
- เสียการมองเห็นภาพซีกซ้ายของตาทั้งสองข้าง
ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อสมองน้อย (Cerebellum) จะทำให้สูญเสียการทรงตัว เวียนศีรษะ เคลื่อนไหวไม่ประสานงานกัน เกิดความเสียหายต่อก้านสมอง ทำให้การหายใจหรือการเต้นของหัวใจผิดปกติหรือหมดสติ ซึ่งสามารถประเมินความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมองได้จากระดับการสูญเสียหน้าที่การทำงานของร่างกาย
MAGIC NUMBER 4.5
มาตรฐานเวลาหรือ Magic Number คือ ตัวเลขสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดและลดความเสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
ไม่เกิน 4.5 ชั่วโมงหลังจากพบอาการ ถ้าผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลภายในช่วงเวลานี้นับตั้งแต่สังเกตเห็นอาการ เบื้องต้นแพทย์จะทำ MRI เอกซเรย์สนามแม่เหล็กตรวจดูความเสียหายของเนื้อสมองและหลอดเลือดที่อุดตันว่ามีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ในคนไข้รายที่มีภาวะสมองขาดเลือดและไม่พบภาวะเลือดออกในสมองจะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ทัน
สำหรับรายที่มาช้าเกิน 4.5 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ และวินิจฉัยว่าเซลล์สมองยังไม่ตายจากการอุดตันของลิ่มเลือดขนาดใหญ่ การให้ยาละลายลิ่มเลือดอาจไม่ทำให้อาการดีขึ้น ต้องอาศัยการใส่สายสวนหลอดเลือดสมอง
แพทย์รังสีร่วมรักษาจะเข้ามาช่วยดูแลเพื่อพิจารณาว่าคนไข้เหมาะสมที่จะรักษาด้วยการลากลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมองหรือไม่
สัญญาณเตือน STROKE รู้เร็ว...รอดได้ รพ.เกษมราษฎร์ ยังแนะวิธีสังเกตสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสอง โดยสังเกตง่าย ๆ 4 อาการ หรือที่เรียกว่า "FAST"
- Face ใบหน้าเบี้ยว
- Arm แขนขาชา อ่อนแรง
- Speech พูดไม่ชัด
- Time ระยะเวลาที่มีอาการต้องรักษาภายใน 4.5 ชั่วโมง
เมื่อเกิดอาการเหล่านี้
1. โทร.1218 บริการ เรียกรถฉุกเฉิน 24 ชม.
2. รีบไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
3. ห้ามบีบนวด
6 เคล็ดลับ ห่างไกล STROKE
1. ต้องมาตรวจสุขภาพ เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
2. ต้องขยันหมั่นออกกำลังกาย
3. ต้องไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ใช้ยาเสพติด
4. ต้องไม่เครียด รู้จักการผ่อนคลาย
5. ต้องควบคุมน้ำหนักไม่ปล่อยให้อ้วน
6. ต้องควบคุมหากมีโรคเบาหวาน,ความดัน,ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ
และสุดท้าย การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่อยู่ใน ICU หรือระยะเฉียบพลัน (Early Rehabilitation) จะช่วยให้การฟื้นตัวทางด้านสมองและกำลังกล้ามเนื้อเร็วขึ้น และยังสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
การฟื้นตัวที่ดีจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมระหว่างคนไข้ ญาติหรือผู้ดูแล ทีมแพทย์ และทีม Stroke Coordinator เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกและเรียนรู้ทักษะบางอย่างใหม่ เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
- กายภาพบำบัด (Physical Therapy) ฝึกกำลังแขนขา การทรงตัว การเคลื่อนไหว การเดิน
- กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy) ฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อการใช้งานของแขนและมือ ฝึกกลืน ฝึกการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ฝึกทำกิจวัตรประจำวัน
- อรรถบำบัด (Speech Therapy) ฝึกการพูด การหายใจ
- ฟื้นฟูกระบวนการรับรู้ ความคิด และความจำ (Cognitive Function)
- ฟื้นฟูภาวะซึมเศร้าและปัญหาด้านสภาพจิตใจ (Depression and Psychosocial)