ระดับกลูโคสที่ควบคุมไม่ได้ "ทำลาย"สุขภาพจิตและร่างกายมากกว่าที่คิด

ระดับกลูโคสที่ควบคุมไม่ได้
หากอยากสุขภาพจิตดีขึ้น มีการนอนหลับที่มีคุณภาพ ความอยากอาหารน้อยลง พลังงานสูงขึ้น กระบวนการแก่ช้าลง และโอกาสเป็นโรคต่างๆน้อยลง กลูโคสคือ มาตรวัดเพื่อสุขภาพ

กำลังเป็นประเด็นเรื่องสุขภาพ ณ ขณะนี้เมื่อช่องยูทูป The Diary Of A CEO เชิญ Jessie Inchauspé เจสซี่ อินเชาสเปชาวฝรั่งเศส ผู้เขียนหนังสือ Glucose Revolution มาสัมภาษณ์ในทอปปิก “The Scary New Research On Sugar & How They Made You Addicted To It!" งานวิจัยใหม่ที่น่ากลัวเกี่ยวกับน้ำตาลและวิธีที่ทำให้คุณติดมัน!

ในอีพีนี้ สตีเวน บาร์ทเล็ตต์ พิธีกรของรายการได้สัมภาษณ์เจสซีว่า หลังจากประสบอุบัติเหตุจนทำให้หลังหักเมื่ออายุได้ 19 ปี เจสซีเริ่มสนใจการมีสุขภาพที่ดี  

เธอเริ่มสร้างบัญชี Instagram ที่ชื่อว่า @glucosegoddess เพื่อแบ่งปันการทดลองของเธอ โดยเจสซีเล่าให้ฟังว่าเธอเริ่มให้ความสนใจระดับน้ำตาลในกระแสเลือดหลังจากที่เธอป่วยและไม่หายดีสักที โดยเธอซื้อเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และค้นพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดนั้นมีผลต่อสุขภาพร่างกาย และ อารมณ์

หากอยากสุขภาพจิตดีขึ้น มีการนอนหลับที่มีคุณภาพ ความอยากอาหารน้อยลง พลังงานสูงขึ้น กระบวนการแก่ช้าลง และโอกาสเป็นโรคต่างๆน้อยลง กลูโคสคือ มาตรวัดเพื่อสุขภาพ กลูโคสช่วยปรับสมดุลอารมณ์ และยังช่วยเรื่องตั้งแต่เรื่องสิวถึงเบาหวาน

การทดลองเหล่านี้พิจารณาถึงผลกระทบที่อาหารต่างๆ มีต่อระดับน้ำตาลของเธอ และผลที่ตามมาต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเธอ ในปี 2022 เจสซีได้ตีพิมพ์หนังสือขายดีของเธอ 'Glucose Revolution'ในหนังสือยังเผย 10 เคล็ดไม่ลับเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร โดยเรายังสามารถกินอาหารที่เรารักโดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลูโคสของเรา

โดยเริ่มจากเรียงลำดับอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อ อันดับแรกคือ ผัก ต่อด้วย โปรตีน และ ไขมัน ปิดท้าย คาร์บ หรือ ของหวาน ไม่ว่ามื้อนั้นจะทานอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญนั่นก็คือ การทานผักเข้าไปเป็นอันดับแรก ผักจะมีสิ่งที่เรียกว่า Fiber ที่มีเมือกเคลือบที่ลำไส้ ทำให้อาหารที่เข้าไปทีหลัง จะถูกดูดซึมได้ยากขึ้น ซึ่งถ้าเรากินพวกแป้งหรือน้ำตาลทีหลัง มันก็จะถูกดูดซึมได้ยากขึ้นเช่นกัน ไฟเบอร์ช่วยการดูดซึมได้มากถึง 75% เลยทีเดียว ให้ในมื้อที่เรากินมีผักอย่างน้อย 30% จะมาเป็นแบบปรุงสุก หรือผักสดสลัดก็ได้

เคล็ดลับต่อมาที่เจสซีได้กล่าวคือ "หยุดนับแคลอรี่" การนับแคลอรี่ทำให้คุณเสียเวลา แม้การกังวลว่าเราจะทานอาหารที่มีแคลอรี่เกิน และพยายามจำกัดเพื่อไม่ให้มากเกินไป แต่เราก็ยังคงเจอกับปัญหาน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราได้จากการรู้ว่าอาหารชนิดนี้ หรือของหวานชนิดนี้มีปริมาณแคลอรี่มาก น้อยเท่าไร เนื่องจากเราไม่รู้ถึงคุณค่าทางโภชนาการที่แท้จริง มันไม่ได้บ่งบอกว่าร่างกายของเราจะดูดซึมได้มากแค่ไหนหรือผลกระทบต่อระดับกลูโคสในกระแสเลือด เท่ากับว่าการนับแคลฯไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี

อาหารเช้ามีส่วนสำคัญ อาหารเช้าบางอย่างก็ทำให้เราอ่อนล้าได้ เจสซีแนะนำให้ทานอาหารเช้าที่มีรสชาติจัดจ้าน แทนรสชาติหวาน และควรเต็มเปี่ยมไปด้วยโปรตีนเช่น ไข่ไก่ ปลา เนื้อสัตว์ หรือโปรตีนทางเลือก ไขมันที่มีประโยชน์อย่างอโวคาโด้ เติมแป้งอย่างพวกขนมปังได้ แต่ห้ามหวานเด็ดขาดยกเว้นผลไม้ แต่ต้องเป็นผลไม้ทั้งผล ไม่ใช่มาแค่น้ำผลไม้ เพราะมีแต่น้ำตาลอยู่ดี ไม่มีไฟเบอร์

เคล็ดลับถัดมาให้ดื่ม Vinegar หรือ น้ำส้มสายชู ก่อนเริ่มมื้ออาหาร การดื่ม Vinegar ช่วยลดการ Spike ของน้ำตาลได้ถึง 30% เพราะในนั้นมีโมเลกุลที่ชื่อว่า Acetic Acid ซึ่งช่วยให้ 1. ยืดกระบวนการสลายตัวของแป้งเป็นกลูโคส แปลว่าน้ำตาลก็จะถูกดูดซึมช้าไปอีก

2. ไปที่กล้ามเนื้อและช่วยดึงน้ำตาลมาที่กล้าม เจสซีแนะนำว่าเวลาทานให้ทานแบบ เจือจางคือ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 1 แก้วผสมกัน เพราะการทาน Vinegar เพียวๆ ไม่ดีต่อฟันเท่าไหร่ 

และเคล็ดลับสุดท้ายที่สตีเว่นถามคือ "หลังจากทานเสร็จให้เคลื่นไหวร่างกาย" เจสซีอธิบายว่า เพราะหลังจากได้รับกลูโคสเข้าสู่ร่างกายหลังจากรับประทานอาหารแล้วนั้น การเคลื่อนไหวร่างกายคือการนำกลูโคสเหล่านี้มาใช้ แทนที่มันจะสะสมอยู่ในร่างกายกล้ามเนื้อของคุณจะดูดซับกลูโคส หากไม่สามารถเดินไปไหนได้ ให้ใช้วิธีการเขย่งปลายเท้าขึ้นลงเพื่อให้กล้ามเนื้อขาได้ทำงาน

นี่เป็นตัวอย่างเคล็ดลับการรับประทานอาหารที่ช่วยให้เราได้ทานอะไรก็ได้ที่เราต้องการโดยที่ไม่ต้องมานั่งนับแคลอรี่ หรือเลี่ยงไม่ทานอาหารบางอย่างเช่นของหวานที่เราชื่นชอบ โดยการหันมาโฟกัสระดับกลูโคสในกระแสเลือดแทน

TAGS: #กลูโคส #แคลอรี่ #สุขภาพ #น้ำตาล