เราทุกคนล้วนเคยพลาด แต่ก็ไร้ประโยชน์ที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไข บทเรียนจากอินเดียน่าโจนส์ภาคใหม่ 'กงล้อแห่งโชคชะตา'
"หากคุณย้อนเวลาได้ คุณอยากแก้ไขเรื่องอะไร" หนึ่งในตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่อง อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา (Indiana Jones and the Dial of Destiny) ภาพยนตร์ภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์หนังดังระดับตำนานที่ได้นักแสดงนำอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็น 'ดร.โจนส์' อีกครั้งในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่อินเดียน่า โจนส์ภาคขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว เมื่อปี 2008
สำหรับอินเดียน่าโจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา เป็นการกลับมาอีกครั้งของดร.โจนส์ ในวัยเกษียณที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชนมากมาย แต่กลับพบว่าตัวเองซึ่งอยู่ในยุคใหม่ที่คนทั้งโลกกำลังตื่นตาตื่นใจกับการเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของ 3 นักบินอวกาศยานอพอลโล กำลังมองข้ามประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ดร.โจนส์กำลังอยู่ในเส้นทางเกษียณ
สิ่งที่เจมส์ แมนโกลด์ ผู้กำกับภาพยนตร์ภาคนี้ต้องการนำเสนอคือ แม้วิทยาศาสตร์กับประวัติศาสตร์ดูจะเป็นคนละเรื่องที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งสองศาสตร์ก็ยากจะแยกออกจากกัน เห็นได้จากตัวละครที่ชื่อ ดร.ชมิดต์ นำแสดงโดย แมดส์ มิคเคลสัน ผู้รับบทเป็นอดีตนักวิทยาศาสตร์ของนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งภายหลังทำงานให้กับองค์การ NASA ในภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์จนประสบความสำเร็จ แต่ความทะเยอทะยานของดร.ชมิดต์ในฐานะอดีตนาซีที่พ่ายแพ้สงครามโลกก็ยังไม่สิ้นสุด เขาต้องการค้นหาสิ่งประดิษฐ์จากยุคกรีกโบราณเพื่อ'ย้อนเวลา' กลับไปแก้ไขอดีตในช่วงสงครามโลก
ขณะที่ดร.โจนส์ นักโบราณคดีผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ แม้จะเชี่ยวชาญและมีบทเรียนจากเรื่องในอดีตมากแค่ไหน แม้ในวัยเกษียณคนเราก็ยังสามารถทำเรื่องผิดพลาดได้เช่นกัน สะท้อนได้จากในภาพยนตร์ซึ่งดร.โจนส์ถูกเมเรียม ภรรยาคู่ชีวิตกำลังฟ้องหย่า ขณะเดียวกันดร.โจนส์เองก็รู้สึกผิดที่การผจญภัยหลายต่อหลายครั้งของเขา มีส่วนต้องทำให้เพื่อนๆ หลายคนต้องจบชีวิต
นั่นเป็นเหตุผลว่า เมื่อหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่องถามดร.โจนส์ว่า หากเขาย้อนเวลากลับไปได้ จากสิ่งประดิษฐ์ยุคโบราณที่ดร.ชมิดต์กำลังตามหา เขาจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องใด แน่นอนว่าดร.โจนส์ มีหลายต่อหลายเรื่องตลอดชีวิตที่ผ่านมาที่เขาอยากลับไปแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องลูกที่เป็นเหตุให้ชีวิตครอบครัวต้องร้าวฉานกับเมเรียมผู้เป็นภรรยา
แน่นอนว่าตลอดช่วงชีวิตของเราทุกคน มีเรื่องให้ได้เรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อคุณมองกระจก เราจะพบข้อบกพร่องหรือรอยร้าวเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทุกคนต้องการแก้ไขอยู่เสมอ ซึ่งท้ายที่สุดมันก็จะกลายเป็นกับดับของความเสียใจที่คุณยึดติดกับตัวเอง
จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนึ่งในคำพูดของ ออสการ์ ไวลด์ นักเขียนชื่อก้องชาวไอริชที่ว่า "เสน่ห์อย่างหนึ่งของอดีตคือการที่มันเป็นอดีตไปแล้ว" เพราะในภาพยนตร์มีหลายฉากที่ ดร.โจนส์ พูดถึงเพื่อนเก่าของเขา ที่เคยรับบทในอินเดียน่า โจนส์ ภาคก่อนๆ ก็มาปรากฎอยู่ในภาคนี้ด้วยเช่นกัน
แม้เราจะมี 'นาฬิกา' ที่สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เหมือนกับในหนัง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดการรันตีได้ว่า เราจะย้อนเวลากลับไปยังจุดที่เราต้องการแก้ไขได้ และในขณะเดียวกันหากเราสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ก็ไร้ประโยชน์ที่เราจะปล่อยให้ตัวเอง "ติดอยู่ในอดีต" ที่เราย้อนกลับไปเพื่อหลีกหนีสิ่งที่ตนเองต้องเผชิญในอนาคต
เหมือนกับดร.โจนส์ ที่แม้สามารถย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ได้ และต้องการใช้ชีวิตอยู่ในยุคนั้นเพื่อหนีความจริงที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดในยุคปัจจุบัน แต่สุดท้าย ดร.โจนส์ก็ต้องกลับมาเผชิญความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน
อีกหนึ่งข้อคิดจากหนังสือ "ความลับ 5 ข้อ ที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย" ของผู้เขียน ดร.จอห์น ไอโซ เผย 1 ในความลับที่ค้นพบคือจงทำทุกอย่างให้แน่ใจว่าเราลองหรือใช้ความพยายามกับสิ่งที่เราต้องการในชีวิตแล้ว เพราะเรามักไม่เสียดายเมื่อพยายามแล้วล้มเหลว และหากมีความสัมพันธ์ที่ต้องเยียวยา จงเยียวยาเสียแต่ตอนนี้
เตรียมออกผจญภัยอีกครั้งกับเจ้าตำนานใน INDIANA JONES AND THE DIAL OF DESTINY: อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา พุธที่ 28มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์