หลังมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิดยกเลิกการบังคับสวมหน้ากาก หรือการสังสรรค์ต่างๆ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มกลับมามากขึ้น จึงถึงเวลาที่ทุกคคนควรรับบูสเตอร์วัคซีน?
เว็บไซต์ไทม์เผย หน้ากากอนามัยเหมือนจะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อฤดูร้อนนี้ผู้คนเริ่มออกมาท่องเที่ยว และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แน่นอนว่าผลที่ตามมาคือเราเริ่มได้ข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะผู้สูงอายุ
จากข้อมูลศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาโรงพยาบาลต้องรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน จากเดิมประมาณ 6,300 ราย เพิ่มเป็น 8,000 ราย เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากหน่วยงานไม่ได้รายงานจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อในประเทศตั้งแต่ประกาศสิ้นสุดภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในเดือนพฤษภาคม ซึ่งหมายถึงหน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐไม่จำเป็นต้องรายงานข้อมูลนี้ต่อ CDC อีกต่อไป
สาธารณสุขของสหรัฐฯจึงตัดสินใจประกาศให้ประชาชนควรรับการบูสต์วัคซีนโควิด-19 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ หลังจากรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จึงเกิดคำถามว่าเราควรรับวัคซีน บูสเตอร์หรือไม่?
ดร.เดวิด วอห์ล อาจารย์แพทย์สถาบันสุขภาพโลกและโรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชปเพิลฮิลล์กล่าวว่า "การรับวัคซีน บูสเตอร์นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน หากคุณเป็นคนมีอายุ หรือเพิ่งไปท่องเที่ยว ออกมาทำกิจกรรมต่างๆ และวัคซีนเข็มล่าสุดที่ฉีดไปก็เกิน 3 เดือน ควรที่จะบูสต์วัคซีนก่อนที่จะสายเกินไป"
แต่สำหรับคนที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่ควรได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม เช่น การสวมหน้ากากในที่สาธารณะ และในสภาพแวดล้อมปิด ดร.วอห์ลกล่าว “ผมอายุ 59 ปี และยังคงฉีดวัคซีนบูสเตอร์อยู่เนืองๆ เพราะรู้ว่าผลที่ตามมาจากการติดเชื้อนั้นค่อนข้างต่ำมาก”
แม้วัคซีนยังไม่ใช่แหล่งภูมิคุ้มกันเพียงแหล่งเดียว เมื่อถึงจุดนี้ในการระบาดใหญ่ ผู้คนจำนวนมากก็ติดเชื้อไวรัสนี้เช่นกัน ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าการได้รับวัคซีนหรือการติดเชื้อจะช่วยป้องกันได้อันไหนจะดีกว่า
แต่มีแนวโน้มว่าวัคซีนจะช่วยป้องกันผู้คนจากการป่วยหนักได้ ดร.วอห์ลชี้ให้เห็นว่าในขณะที่เราได้ยินเกี่ยวกับกรณีผู้ที่ได้รับวัคซีนติดเชื้อ เราไม่ได้ยินว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนซึ่งสัมผัสกับไวรัสจะไม่ติดเชื้อบ่อยเพียงใด “ผมเชื่อว่ามีภูมิคุ้มกัน จากวัคซีนต่อการติดเชื้อ หรือการที่คนติดเชื้อชั่วคราวและทำให้ไวรัสหายไปก่อนที่จะแสดงอาการ แต่ยากที่จะบันทึกเป็นข้อมูลเท่านั้น”