อัตราการ'คิดสั้น'เพิ่มขึ้น หลังการระบาดใหญ่สิ้นสุดลง

อัตราการ'คิดสั้น'เพิ่มขึ้น หลังการระบาดใหญ่สิ้นสุดลง
รายงานจาก National Center for Health Statistics (NCHS) ติดตามอัตราการฆ่าตัวตายของสหรัฐฯ ในช่วงปี 2544-2564 นักวิจัยรายงานว่าอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นในปี 2564 หลังจากลดลงมาสองปี

เว็บไซต์ไทม์เผยในปี 2564 อัตราโดยรวมทั้งเพศชายและหญิงทุกกลุ่มอายุ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4 ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหนึ่งปีนับตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งส่งผลให้การฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเป็นอันดับที่ 11 ของการเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา

แซลลี่ เคอร์ติน นักสถิติและผู้เขียนร่วมของรายงาน NCHS กล่าวว่า "จากปี 2562 ถึงปี 2563 ช่วงครึ่งหลังของการระบาดใหญ่ อัตราการฆ่าตัวตายลดลง นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์โควิด-19 และความเครียดที่เกิดขึ้น”

เคอร์ตินกล่าวต่อว่า “แต่เราทราบดีว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนที่แตกต่างกันไป การลดลงในการฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่เกิดจากคนผิวขาวและวัยกลางคน”

อัตราการฆ่าตัวตายในหมู่คนหนุ่มสาวไม่ลดลงในช่วงเวลานั้น แม้ว่าอัตราการฆ่าตัวตายของเด็กผู้หญิงอายุ 10 -14 ปี จะต่ำที่สุด แต่อัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มผู้หญิงช่วงปี 2544 ถึง 2564 นั้นเพิ่มขึ้นมากที่สุด และในขณะที่อัตราของผู้หญิงกลุ่มอายุอื่นๆ ผันผวนในช่วงสองทศวรรษดังกล่าว การฆ่าตัวตายของเด็กผู้หญิงอายุ อายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าระหว่างปี 2544 ถึง 2564

อัตราการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกลับไปสู่แนวโน้มที่สูงขึ้นในก่อนหน้านี้ โดยอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มผู้หญิงผิวสี ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับผู้หญิงผิวขาวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3

ในส่วนชายผิวสียังมีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ในช่วงเวลานั้น เทียบกับชายผิวขาวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ในปี 2564 ชายและหญิงอเมริกันอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอเมริกันมีอัตราการฆ่าตัวตายโดยรวมสูงสุดที่ 42.6 และ 13.8 ต่อ 100,000 คน

ในขณะที่การแพร่ระบาดทำให้เกิดความเครียดในตัวมันเองอยู่แล้ว เคอร์ตินกล่าวว่าอัตราที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 อาจชี้ให้เห็นถึงการกลับมาของความเครียดเดิมๆ ที่เคยลดลงโดยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของการปิดเมือง การเรียนและการทำงานทางไกล รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์

TAGS: #สุขภาพจิต #จิตวิทยา