Gen Y กำลังเผชิญวิกฤตวัยกลางคนที่ไม่เหมือนคนรุ่นไหน ทั้งจน ทั้งยุ่งกว่ารุ่นพ่อ รุ่นแม่ และช่วงเวลาของวัยกลางคนช่างยาวนานกว่ารุ่นไหนๆ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยบทความ Poor, Busy Millennials Are Doing the Midlife Crisis Differently ในปี 2566 ชาวอเมริกันกว่า 3.6 ล้านคนจะมีอายุครบ 40 ปี ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ 3 ของ Gen Y (พ.ศ. 2523 – 2537) ที่อยู่ในวัยเตรียมบรรลุเป้าหมายสำคัญของช่วงชีวิต แต่กลุ่มนี้อาจจะไม่ขบถ หรือตั้งเป้าหมายแบบที่รุ่นพ่อแม่ของพวกเขา ที่สามารถซื้อเรือเป็นของตัวเองหรือจองเที่ยวบินไปบาหลีหลังลาออกจากบริษัท Gen Y ไม่ได้หย่าร้างกับคู่สมรส หรือสัก คนรุ่นนี้กำลังจะเผชิญวิกฤตวัยกลางคนที่ต่างออกไป และพวกเขาไม่สามารถหนีจากสิ่งนี้ได้
The Emerging Millennial Wealth Gap รายงานปี 2562 New America แสดงให้เห็นว่าผู้ที่เกิดระหว่างปี 2524 ถึง 2539 มีรายได้น้อยกว่าคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ถึง 20% ในช่วงอายุเดียวกัน และข้อมูลจาก Federal Reserve Bank of St. Louis ระบุว่าสินทรัพย์ของพวกเขาเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5 ล้านบาท เทียบกับGen X ในวัยเดียวกันที่มีสินทรัพย์ที่ 6.7 ล้านบาท
มีหลายปัจจัยที่คน Gen Y วัยกลางคนนั้นยากจนกว่ารุ่นพ่อ รุ่นแม่ แต่ที่เห็นชัดที่สุดคือวิกฤตดอทคอมและวิกฤตการเงินที่ตามมาในปี 2551 วิกฤตดังกล่าวหล่อหลอมชีวิตการทำงานในช่วงแรกของ Gen Y
Poorer and busier than prior generations, millennials are shaking up what it means to have a midlife crisis. https://t.co/gXSNDdwGgY
— Bloomberg (@business) February 15, 2023
สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติกล่าวว่า บุคคลทั่วไปกว่า 70% ได้รับการขึ้นเงินเดือนโดยรวมเพียงช่วงทศวรรษแรกของช่วงการทำงาน หากช่วงเวลาดังกล่าวคาบเกี่ยวกับช่วงขาลง มีแนวโน้มว่าค่าจ้างจะลดลง 9% ในระยะยาว รายงานปี 2564 ของ Center for Retirement Research กล่าวว่าคน Gen Y ที่อายุระหว่าง 28-38 ปี มีอัตราส่วนความมั่งคั่งสุทธิต่อรายได้ต่ำกว่าคนรุ่นก่อนๆ
Gen Y มีรายได้และเงินออมลดลง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เราทุกคนควรหาเส้นทางอาชีพใหม่ทุกๆ 12 ปีหรือมากกว่านั้น และในสหรัฐอเมริกาช่วงปี 2564 “การลาออกครั้งใหญ่” สถิติการลาออกต่อเดือนสูงสุดตลอดกาล
อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและการดูแลตนเองมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปีทั่วโลก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือและเทคโนโลยีการออกกำลังกายได้มากกว่าคนรุ่นก่อน แต่จากการศึกษาคนกลุ่ม Gen Y กว่า 5,000 คน โดย Technogym เผยว่า หลายคนรู้สึกว่าตนเองมี "สุขภาพบกพร่อง" และมีเพียง 52% เท่านั้นที่ให้คะแนนระดับสุขภาพโดยรวมว่า "ดี" หรือ "ดีเยี่ยม"
สตีเฟ่น มินทซ์ นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน และผู้เขียน The Prime of Life: A History of Modern Adulthood กล่าวว่า “คน Gen Y รู้สึกติดกับดัก และไม่มีความสุขกับสิ่งนั้น แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก คน Gen Y พวกเขาไม่สามารถแค่เขียนเช็กเงินสด แล้วเดินจากไปได้”
วิกฤตวัยกลางคนนี้เป็นการผสมปนเปตบตีและตื่นตระหนก เอลเลียต จาคส์ นักจิตวิทยา ผู้เขียน Death and the Mid-Life Crisis เผยงว่าขณะที่เขาอายุ 48 ปี เขาแสดงให้เห็นว่างานสร้างสรรค์ เช่น นักแต่งเพลงและศิลปิน จะลดลงหรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 35 ปี ณ จุดนั้น จาคส์ กล่าวว่ามนุษย์เปลี่ยนการบอกช่วงเวลา "จากในแง่ดีเป็นการมองโลกในแง่ร้าย" แทนที่จะเป็น ตั้งแต่เกิด ถูกเปลี่ยนเป็น จนกว่าจะตาย แทน
แทนที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่ พวกเขาจะซื้อจักรยานและออกไปวิ่งบนถนน ซึ่งทำให้สุขภาพของพวกเขาดีขึ้นและมีอายุยืนยาวขึ้น แทนที่จะทำศัลยกรรม พวกเขาจะออกไปผจญภัยเป็นงานอดิเรกแทน
มาร์ก แจ็กสัน ผู้เขียน Broken Dreams: An Intimate History of the Midlife Crisis กล่าวว่า “คุณไม่จำเป็นต้องแก่ในวัยกลางคน” ซึ่งคุณสามารถคงความหนุ่มสาวได้ด้วยการออกกำลังกายและท่องเที่ยว งานอดิเรกเหล่านั้นมีราคา "แต่มันถูกกว่าการซื้อรถปอร์เช่หรือดูคาติหรือการมีเมียน้อย"
ตารางเวลาที่ยาวขึ้นเหล่านี้ จะเข้ามาเปลี่ยนจังหวะของวิกฤตวัยกลางคนที่ยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ แทนที่จะเป็นช่วงเวลาพลิกชีวิตในครั้งเดียว แจ็กสันเสนอแนะว่า วิถีใหม่คือการประเมินซ้ำและทำซ้ำอย่างเงียบๆ และต่อเนื่อง ช่วยให้คน Gen Y สามารถค่อยๆ ปรับเปลี่ยนโดยไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองโดยสิ้นเชิง