ชาวเน็ตตั้งคำถาม ‘สัปเหร่อ’ จำเป็นต้องมีฉากคิดสั้นหรือไม่

ชาวเน็ตตั้งคำถาม ‘สัปเหร่อ’ จำเป็นต้องมีฉากคิดสั้นหรือไม่
เพจสุขภาพจิตตั้งคำถาม จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีฉากฆ่าตัวตายแบบชัดเจนในภาพยนตร์ เพราะคนจะกลัวไม่ทำตาม หรือจะกลายเป็นแรงจูงใจให้ใช้วิธีการดังกล่าวตาม

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่ ต้องเต ธิติ ศรีนวล ผผู้กำกับภาพยนตร์ “สัปเหร่อ” ออกมาเผยที่ต้องตัดฉากหนึ่งออกจากภาพยนตร์ เนื่องจากเกรงว่าผู้ชมจะดิ่งเกินไป ซึ่งฉากดังกล่าวคือฉากที่ตัวละครพูดว่า “บ่เป็นหยัง บ่จากมือนี่ ก็จากมื้อหน้า”

ทางด้านเพจคลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎาได้แนะนำว่าฉากที่ควรตัดคือฉากเปิดเรื่องเนื่องจากรุนแรงและไม่ส่งผลต่อหนัง โดยเผยว่า

ต้องเตผู้กำกับ“สัปเหร่อ” ออกมาให้เหตุผลที่ตัดฉาก 

“บ่เป็นหยัง บ่จากมือนี่ ก็จากมื้อหน้า”

ออกจากหนังว่า ”กลัวผู้ชมจะดิ่งเกินไป“

ความเห็นหมอๆว่า *ดูแล้วก็ไม่ได้ดิ่งมากนัก*

ถ้าจะมีฉากไหนที่ควรตัดจริงๆ

(เพราะอาจมีผลต่อพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ)

และตัดได้โดยที่ไม่ได้มีผลต่อตัวเรื่องเลย

ฉากนั้นก็คือ…*ฉากแรกสุด**ครับ ????????

มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นแตกออกเป็นสองฝั่ง ทั้งฝั่งที่สนับสนุนว่าควรตัดออก และฝั่งที่คิดว่ามีฉากแรกดีแล้ว คนจะได้ไม่กล้าทำตาม (เนื่องจากในภาพยนตร์เป็นฉากการฆ่าตัวตายของตัวละครด้วยการผูกคอ) 

การผูกคอเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุด

ศูนย์เฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ เผยข้อมูลปัญหาการฆ่าตัวตายในคนไทยปี 2565 พบว่าล่าสุดปี พ.ศ 2564 อัตราการฆ่าตัวตายสําเร็จ ยังเพิ่มสูงขึ้นเป็น 7.38 ต่อแสนประชากร

เนื่องจากเหตุ ปัจจัยของการฆ่าตัวตายมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัตตามห้วงเวลา จากการติดตามวิเคราะห์ข้อมูลและ สังเกตการฆ่าตัวตายในคนไทยพบว่า 

การฆ่าตัวตายในบุคคลแต่ละครั้ง จะเกิดขึ้นเมื่อมีครบ 5 เงื่อนไขสําคัญ ได้แก่

  1. บุคคลนั้นต้องมีปัจจัยเสี่ยง(Risk factors) ที่โน้มนําให้ฆ่าตัวตายได้มากกว่าคนทั่วไป
  2. มีสิ่งกระตุ้น(Trigger) หรือ ปัจจัยกระตุ้น(Precipitating factors) ให้คิดและกระทําฆ่าตัวตาย
  3. เข้าถึงวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ที่ใช้ฆ่าตัวตายได้ ง่าย หรือด่านกั้นล้มเหลว
  4. การเฝ้าระวังป้องกันล้มเหลว
  5. บุคคลนั้นมีปัจจัยปกป้อง(Protective factors) ที่อ่อนแอ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566 แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต3 กล่าวว่า ในพ.ศ. 2565 การฆ่าตัวตายมีอัตราสูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจากสถิติใบมรณบัตร กองยุทธศาสตร์และแผนงานกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ. 2565 อยู่ที่ 7.97 ต่อ 1 แสนประชากรเพิ่มขึ้นชัดเจนจาก พ.ศ. 2564 ซึ่งอยู่ที่ 7.38 ต่อ 1 แสนประชากร

ข้อมูลจากรายงาน รง506S ที่รวบรวมได้ครบ 12เดือน (ตค64-กย65) พบว่าการฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นเพศชายร้อยละ 79.5 ผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างร้อยละ 34.5 วิธีการที่ใช้เป็นการผูกคอร้อยละ82.6

รองลงมาคือ ใช้อาวุธปืนร้อยละ 6.2 และใช้ยากำจัดวัชพืชร้อยละ 3.3 โดยก่อนเสียชีวิตพบสัญญาณเตือนการฆ่าตัวตายเพียงร้อยละ 25.8 บ่งบอกถึงระบบการเฝ้าระวังข้องกันการฆ่าตัวตายสำเร็จล้มเหลว

กลุ่มวัยรุ่น /นักศึกษา เป็นกลุ่มที่มีอัตราพยายามฆ่าตัวตายสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ คิดเป็น 224.34 ต่อแสนประชากร รองลงมาคือ กลุ่มวัยทำงาน 45.24ต่อแสนประชากร ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงร้อยละ 73.2 เป็นนักเรียนนักศึกษาร้อยละ44.6

วิธีการที่ใช้มักจะเป็นการกินยาเกินขนาดร้อยละ 59.5 รองลงมาคือใช้ของมีคมร้อยละ9.3และผูกคอร้อยละ 8.5 ก่อนลงมือพยายามฆ่าตัวตายพบสัญญาณเตือนเพียง ร้อยละ 11.6

อิทธิพลของสื่อนำมาสู่การฆ่าตัวตาย

บทความจากอ. นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าการเผยแพร่ข้อความหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงรวมถึงการฆ่าตัวตาย ส่งผลโดยตรงในเรื่องของการเรียนรู้ในสังคม โดยเฉพาะอิทธิพลที่มีต่อเด็กและวัยรุ่นที่ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีทักษะการแก้ไขปัญหาที่ดีพอ อาจมีการเลียนแบบพฤติกรรมได้ เนื่องจากคิดว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในเรื่องของการฆ่าตัวตายก็ต้องมีปัจจัยหลายอย่างร่วมด้วย นอกเหนือจากเลียนแบบ

ทางเพจคลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎายังได้ยกส่วนหนึ่งของหนังสือการฆ่าตัวตาย การรักษาและการป้องกัน โดยหนังสือได้เขียนอิทธิพลของสื่อว่า ขณะที่ฉากการฆ่าตัวตายในตัวละครโทรศัทน์อาจส่งผลในทางลบได้ โดย Hawton และคณะได้ศึกษาผลของฉากการฆ่าตัวตายในละครซึ่งเป็นที่นิยมกันมากเรื่องหนึ่งในประเทศอังกฤษ 

ซึ่งมีตอนที่ผู้แสดงฆ่าตัวตายโดยการกินยาชนิดหนึ่งเกินขนาด พบว่าใน 1 สัปดาห์หลังการออกอากาศมีผู้ฆ่าตัวตายโดยการกินยาเกินขนาดเพิ่มขึ้น เมื่อสอบถามผู้พยายามฆ่าตัวตายพบว่า ร้อยละ 20 บอกว่าดูฉากดังกล่าวทำให้ตัดสินใจใช้วิธีนั้น

แน่นอนว่า ผู้ที่เลียนแบบวิธีการฆ่าตัวตายจากสื่อนั้น มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายอยู่ระดับหนึ่งอยู่แล้ว

อ้างอิง 1 2 3

TAGS: #ฆ่าตัวตาย #สัปเหร่อ #สุขภาพจิต