ประธานรัฐสภา ย้ำต้องแก้รธน.ตามคำวินิจฉัย ต้องจัดประชามติ 3 ครั้ง ปัดให้ความเห็นสว.ใช้งบดูงานตปท.ทิ้งทวนก่อนหมดหน้าที่
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคำร้องของพรรคเพื่อไทยเรื่องจำนวนครั้งการออกเสียงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น และเป็นเพียงข้อสังสัยต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เท่านั้น ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนแล้ว
ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ส่งกรอบเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประกอบคำวินิจฉัย เพื่อแสดงความชัดเจนว่า รัฐสภามีสิทธิแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ แต่จะต้องจัดการออกเสียงประชามติเสียก่อน ซึ่งหมายความว่าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องจัดการออกเสียงประชามติก่อน หรือหากจะแก้มาตรา 256 ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจศาล องค์กรอิสระ ฯลฯ ตามวงเล็บ 1-9 บางวงเล็บกำหนดต้องจัดการออกเสียงประชามติก่อน
“เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดการออกเสียงประชามติก่อน ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะจัดการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง เพื่อความปลอดภัย แต่จะเสียเวลาและงบประมาณมากหน่อย แต่หากจะดำเนินการ 2 ครั้งต้องพิจารณาด้วยว่า ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ควรไปคิดเอง และต้องปฏิบัติตามกรอบคำวินิจฉัย และรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าดำเนินการไม่ตรงตามคำวินิจฉัยแล้ว มีผู้ร้องเรียนจะทำให้เสียเวลา และอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกภายหลัง ดังนั้น เมื่อมีเวลาควรดำเนินการให้ดีที่สุด ให้ถูกต้อง” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
ส่วนข้อเรียกร้องให้ประธานรัฐสภาทบทวนการบรรจุวาระร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา ประธานรัฐสภา กล่าวว่า จะต้องมีสส.เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามา แต่หากต้องจัดทำประชามติก็ต้องดำเนินการก่อน หรือหากเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่จำเป็นต้องจัดการออกเสียงประชามติ ก็สามารถบรรจุได้ แต่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สามารถเสนอแก้ไขได้ สภาฯจะพิจารณาว่าจะบรรจุหรือไม่ มีเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลง หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
นายวันมูหะมัดนอร์ ปฏิเสธให้ความเห็นถึงกรณีสมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการของวุฒิสภาบางคณะ เตรียมใช้งบประมาณทิ้งทวนก่อนหมดวาระ เพื่อไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ