เปิดวงคุย กมธ.แก้พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชี้มาตรา 32 คุมโฆษณา ไม่ล้าสมัย ไม่สมดุล 

เปิดวงคุย กมธ.แก้พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชี้มาตรา 32 คุมโฆษณา ไม่ล้าสมัย ไม่สมดุล 
วงคุยกมธ.แก้พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฝั่งประชาชน-ผู้ประกอบการเดินหน้ายกเครื่องกฎหมาย ชี้มาตรา 32 คุมโฆษณาสุดโต่งไม่แก้ปัญหา ล้าสมัย ไม่สมดุล 

สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์) จัดงานเสวนาในหัวข้อ “32 Civilized, No More Total Ban: ยกเครื่องกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่สังคมที่ดีกว่า” เพื่อบอกเล่าความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .....

ซึ่งขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สภาผู้แทนราษฎร  พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตอบข้อสงสัยต่างๆ โดยเฉพาะในประเด็นมาตรา 32 ซึ่งเกี่ยวกับการควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ณ ร้าน Sociefee x Chouxstory ใกล้สถานี MRT หัวลำโพง โดยมีผู้ร่วมเสวนาซึ่งเป็นกรรมาธิการฯ จากฝั่งประชาชนและผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลุ่มต่างๆ ในคณะกรรมาธิการฯ และมีผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายอื่นๆ สื่อมวลชน และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วม

ความคืบหน้าจากกรรมาธิการพรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภาคประชาชน

น.ส.เขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย และคณะกรรมาธิการฯ กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่า การประชุมคณะกรรมาธิการฯ เพื่อยกร่างพระราชบัญญัติจาก 5 ร่างฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการ โดยยึดเอาร่างฯ ของคณะรัฐมนตรีเป็นหลักนั้น ดำเนินไปแล้ว 30 ครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่การพิจารณาเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากต้องใช้เวลาหารือ ถกเถียง และทำความเข้าใจถึงข้อมูล เหตุผลความจำเป็น และข้อเสนอของแต่ละร่าง อย่างรอบคอบก่อนจะมีมติร่วมกัน โดย 5 ร่างฯ ดังกล่าว ซึ่งผู้ประกอบการและประชาชน ฝ่ายรณรงค์ พรรคการเมือง และรัฐบาลเป็นผู้เสนอ มีจุดยืนและหลักการที่แตกต่างกันมาก

โดยเฉพาะการควบคุมการโฆษณาและสื่อสารการตลาด ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานความไม่ไว้วางใจผู้ประกอบการและวุฒิภาวะของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการฯ มุ่งมั่นที่จะทำให้พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายแห่งอนาคต เป็นกฎหมายของส่วนรวมที่ประชาชนมีส่วนร่วมและให้การยอมรับ ปฏิบัติได้ สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของรัฐ และมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสุขภาวะของประชาชน โดยไม่สร้างอุปสรรคหรือภาระแก่ผู้ประกอบการจนเกินสมควร

โดยที่รัฐเองต้องเร่งสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ประชาชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับโทษภัยของการดื่มที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะการดื่มจนขาดสติ เมาแล้วขับ และการดื่มก่อนวัยอันควร โดยอาจดำเนินการร่วมกับผู้ประกอบการ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติและตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้เป็นแนวทางในการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ในระหว่างที่เข้าพบเพื่อรายงานความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมาธิการในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 
น.ส.เขมิกา ได้สรุปประเด็นที่คณะกรรมาธิการฯ เห็นชอบร่วมกันในหลักการ คือ

1. การยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ซึ่งใช้มานานกว่า 51 ปี โดยกำหนดเวลาห้ามขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

2. การเพิ่มโทษแก่ผู้ขายที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์และผู้ที่เมาจนครองสติไม่ได้

3. การปลดล็อคสถานที่ห้ามดื่มและขายบางสถานที่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว, และที่สำคัญที่สุด คือ

4. การเปลี่ยนผ่านมาตรการการควบคุมการโฆษณาจากลักษณะ near total ban (ห้ามเกือบเด็ดขาด) เป็นการผ่อนคลายมากขึ้นในลักษณะ partial ban (ห้ามเป็นบางส่วน) โดยการให้ข้อเท็จจริงของผลิตภัณฑ์สามารถกระทำได้ แต่จะปลดล็อกมากน้อยเพียงใดยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา 

ย้ำต้องปกป้องเด็กและเยาวชน - หนุนข้อเสนอทีดีอาร์ไอ - มั่นใจผู้ประกอบการกำกับดูแลได้จริง
นอกจากนี้ น.ส.เขมิกา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนและเครือข่ายของผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคม และการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยง่าย อย่างไรก็ดี มาตรการที่เข้มข้นจนเกินจำเป็นของรัฐในปัจจุบันแก้ไม่ตรงจุด สัดส่วนการดื่มของกลุ่มเด็กและเยาวชนไม่ได้ลดลง ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

ซึ่งศึกษาอย่างรอบคอบจากข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น หนึ่ง แก้ไขมาตรา 32 ให้ผู้ประกอบการโฆษณาได้ โดยให้ข้อเท็จจริงมิใช่อวดอ้างสรรพคุณ โดยต้องกำหนดขอบเขตเนื้อหาที่สามารถโฆษณาได้ และต้องไม่มุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี, สอง เพิ่มบทลงโทษผู้ประกอบการที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่มึนเมาจนขาดสติ ซึ่งปัจจุบันมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ในขณะที่การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท, และสาม เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้ซื้ออายุต่ำกว่า 20 ปี โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน


“เราตระหนักถึงความห่วงใยของสังคมที่มีต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน ดังนั้นจำเป็นต้องยกเครื่องมาตรการทางกฎหมายโดยมองไปในอนาคตและเล็งผลสัมฤทธิ์ในการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างยั่งยืน มีความชัดเจน ปฏิบัติได้ ลดการใช้ดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ก่อให้เกิดความสมดุลทั้งด้านสังคม สาธารณสุข และเศรษฐกิจ ควบคู่กับการให้การศึกษาแก่ประชาชนตั้งแต่วัยเรียนเพื่อสร้างความตระหนักรู้และสร้างภูมิคุ้มกันจากการดื่มอย่างเป็นอันตราย ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำมาตรการกำกับดูแลตนเอง หรือ Self-regulation ซึ่งทำได้จริงโดยสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย และในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ จีน เป็นต้น” น.ส.เขมิกา กล่าว

ชี้ปัญหามาตรา 32 ไม่ชัดเจน สร้างความขัดแย้ง ส่งเสริมการผูกขาด

ด้าน น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์) และโฆษกคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า มาตรา 32 ของกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับปัจจุบันบัญญัติไว้กว้างๆ โดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดข้อห้ามการโฆษณาว่าสิ่งได้ทำได้หรือไม่ได้ไว้อย่างชัดเจน ประชาชนและผู้ประกอบการไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการตีความอย่างกว้างขวางว่าการกระทำใดเป็นความผิดหรือไม่ กำหนดโทษอาญา โทษจำคุก และโทษปรับที่สูงไม่ได้สัดส่วนกับลักษณะการกระทำผิด นอกจากนี้แล้ว การบังคับใช้กฎหมายนี้ลิดรอนสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค ทั้งยังสร้างอุปสรรคในการทำธุรกิจสุจริตและอาชีพที่รักของผู้ประกอบการรายเล็กและผู้ผลิตในชุมชน ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้เพราะไม่สามารถแนะนำหรือให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้จักได้ และโดยที่ช่องทางการจำหน่ายมีจำกัดอยู่แล้วแต่รัฐยังได้ออกมาตรการห้ามขายทางช่องทางออนไลน์อีก ถือเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการและทำร้ายอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือส่งเสริมการผูกขาดโดยผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย ย้อนแย้งกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการผลิตสุราชุมชน การสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการรายย่อย สุราชุมชน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเป้าหมายการเติบโตรายได้จากภาษีสรรพสามิตสุรา และการท่องเที่ยวเชิงสุราชุมชน

เสียงสะท้อนความเดือดร้อนของผู้ประกอบการรายเล็ก

ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย นักวิซาการด้านเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ... และรองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ตนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ด้านเครื่องดื่ม และเป็นแอดมินเว็บไซต์และเพจเฟสบุ๊คสุราไทย เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับการทำสุรา และแลกเปลี่ยนกับผู้ที่สนใจในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสุรา ที่ผ่านมาตนได้พบปะและให้คำปรึกษากับคนที่สนใจและรักการทำสุราทุกเพศทุกวัยจากทั่วประเทศ

รวมถึงนักศึกษาและเด็กรุ่นใหม่ที่อยากสร้างสรรค์สุราคราฟต์ อยากเป็นเจ้าของกิจการโรงเบียร์ โรงกลั่น หรือเปิดร้านเหล้าเพื่อเป็นที่ใช้เวลาว่างสังสรรค์กับเพื่อนฝูง แต่กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ของรัฐสร้างอุปสรรคในการทำมาหากินหรือสร้างสรรค์สินค้าที่มีคุณภาพ และไม่ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ตั้งแต่มีกฎหมายนี้ การให้ข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความสุ่มเสี่ยงจะถูกดำเนินคดี แม้แต่การโพสต์ภาพหรือพูดถึงโดยไม่ได้ชักจูงหรือโฆษณาเพื่อประโยชน์ทางการค้าก็ยังถูกจับ ปรับ ในอัตราโทษที่สูงได้ ใครไม่ยอมจ่ายค่าปรับก็อาจต้องไปสู้คดีความในศาล 

กม.คุมแอลกอฮอล์สุดโต่งแก้ปัญหาเมาแล้วขับไม่ตรงจุด ย้ำต้องยกเครื่อง-สร้างสมดุล ผศ.ดร.เจริญ กล่าวด้วยว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และมาตรการต่างๆ ที่ออกตามมานั้นไม่ได้ช่วยลดปัญหาเมาแล้วขับ เมาหัวราน้ำ หรือป้องกันการเข้าถึงแอลกอฮอล์ของผู้เยาว์อย่างถูกที่ถูกทาง แต่เป็นกฎหมายที่ตัดแข้งตัดขาผู้ประกอบการรายเล็ก ผู้ผลิตระดับชุมชน และทำให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตไม่ได้ แต่กลับมีนัยยะเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ เพราะทุนใหญ่มีสินค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องทำการโฆษณาสินค้าโดยตรง

แต่สามารถทำโฆษณาโดยใช้เครื่องหมายการค้าของสินค้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้ ในขณะที่ผู้ประกอบรายเล็กมีทุนน้อย ไม่มีศักยภาพพอที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายประเภทพร้อมกระจายสินค้าในวงกว้าง และไม่มีงบประมาณในการทำโฆษณาหรือการตลาดจำนวนมากเหมือนรายใหญ่ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ส่วนมากกระทำ ณ จุดขาย หรือช่องทางออนไลน์ จึงส่งผลให้โอกาสที่สินค้าจะเป็นที่รู้จัก หรือได้รับความนิยมมีน้อยกว่า


ทั้งนี้ ผู้ร่วมเวทีเสวนา “32 Civilized, No More Total Ban: ยกเครื่องกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่สังคมที่ดีกว่า” ประกอบด้วย ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย นักวิซาการด้านเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม, น.ส.เขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA), น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์), นายศุภพงษ์ พรึงลำภู ตัวแทนผู้ผลิตสุรารายย่อย, นายศุภวิชญ์ มุททารัตน์ เจ้าของกิจการบาร์ค็อกเทลและบาร์เทนเดอร์แถวหน้าของประเทศไทย, น.ส.สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย (Thai Wine Association; TWA) และตัวแทนผู้ผลิตสุราและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร, และนายอาทิตย์ ศิวะหรรษาพันธ์ ตัวแทนภาคประชาชน ซึ่งผู้เสวนาทั้งเจ็ดเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 

อนึ่ง เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2567 ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาและลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. ..... รวม 5 ฉบับ ซึ่งเสนอโดย นายเจริญ เจริญชัย กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 10,942 คน, นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กับคณะ, นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กับคณะ, นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 92,978 คน, และคณะรัฐมนตรี และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ โดยการประชุมคณะกรรมาธิการเริ่มต้นครั้งแรกในวันพุธที่ 3 เมษายน 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการประชุมมาแล้ว 30 ครั้ง

TAGS: #กมธ #แอลกอฮอล์