"ไพบูลย์" ยันยื่นฟ้อง "ดนัย-ช่อง 9" ปมคลิปเสียง ข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสีย ผิดตามประกาศคณะปฎิรูปปี 49 ด้าน "พร้อมพงศ์" เย้ย ฟ้องสื่อแก้เกี้ยว หวังปิดหู ปิดตา แนะปัดกวาดบ้านตัวเอง
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เผย ตนจะยื่นฟ้องดำเนินคดีนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้จัดรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ,รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทนายไพบูลย์ด้วยการโฆษณา โดยประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเสียงของนายไพบูลย์ ทำให้ตนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และคลิปเสียงดังกล่าวมีที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2567 นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ได้นำคลิปเสียงเผยแพร่ผ่าน รายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9
ทั้งนี้ นอกจากข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาแล้ว ตนยังจะฟ้องบุคคลทั้ง 3 ในข้อหากระทำความผิด ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับที่ 21 เรื่อง ห้ามการดักฟังทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารใด ข้อ 2 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรับรู้ข้อความที่ได้มาจากการกระทำความผิดตามข้อ 1 ใช้ประโยชน์หรือเปิดเผย ข้อความนั้นต่อผู้อื่น โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” เพิ่มในคำฟ้องเป็นอีกฐานความผิดด้วย
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากบัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับที่ 21 เรื่อง ห้ามการดักฟังทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารใด บัญญัติว่า “โดยที่ในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการลักลอบดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความที่มีการ ติดต่อทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการละเมิดเสรีภาพของ บุคคลในการสื่อสารถึงกัน ก่อให้เกิดความหวาดระแวงกันทั่วไปในหมู่ประชาชนผู้ใช้เครื่องมือสื่อสาร ดังนั้น เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยชอบด้วยกฎหมายและเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและรักษาความสงบของประเทศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากบัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ผู้ใดดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผย ซึ่งข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใด โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายต้องระวางโทษจำดุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อ 2 ผู้ใดรับรู้ข้อความที่ได้มาจากการกระทำความผิดตามข้อ1ใช้ประโยชน์หรือเปิดเผย ข้อความนั้นต่อผู้อื่น โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อ 3 ผู้ใดใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามข้อ1หรือข้อ 2 ต้องรับโทษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตามที่บัญญัติไว้ในความผิดตามข้อ1หรือข้อ 2 แล้วแต่กรณี
ข้อ4 ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้บริการโทรศัพท์หรือการสื่อสาร หรือเป็น ผู้ได้รับสัมปทานการให้บริการดังกล่าว นอกจากต้องรับโทษตามข้อ1 ข้อ2 หรือ ข้อ3แล้วแต่กรณีแล้วให้ใบอนุญาตหรือสัมปทานนั้น สิ้นสุดลงด้วย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า กฏหมายดังกล่าวข้างต้น ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 แล้วก็ตาม หากแต่ประกาศคณะปฏิรูปฯ ดังกล่าวนั้น หาได้มีกฎหมายบัญญัติเอาไว้ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้ยกเลิกแต่อย่างใด ดังนั้น ประกาศคณะปฏิรูปดังกล่าว จึงยังคงเป็นกฎหมายใช้บังคับได้อยู่จวบจนถึงปัจจุบัน (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2523)
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย เผย นายไพบูลย์กำลังแก้เกี้ยวเพื่อปิดปากสื่อ ไม่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบทุจริตไม่กล้าสู้ความจริง และกำลังปิดหู ปิดตา ประชาชนและสังคม ทั้ง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐ ออกมารณรงค์ให้ช่วยกันป้องกันและป้องปรามการทุจริต วาระการตรวจสอบทุจริตเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการตรวจสอบ เป็นเรื่องประโยชน์ของสาธารณะ เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ใครไม่ช่วยคลี่คลาย หรือขัดขวาง การทำข้อมูลที่ปรากฏในคลิปให้กระจ่าง ถือว่าไม่มีจิตสาธารณะหรือไม่ ที่จะป้องปราม การทุจริตประพฤติมิชอบหรือไม่ นายดนัยประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมานานกว่า 30 ปี ไม่ได้เป็นนักการเมือง จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องมากล่าวหา ใส่ความเท็จพลเอกประวิตร ที่สำคัญ คนระดับปลัดกระทรวงมหาดไทย ก็ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นเสียงจริง
จึงขอให้นายไพบูลย์ไปตรวจสอบรัฐธรรมนูญ ม.35 และคำพิพากษาศาลฎีกา 3782/2564 ที่มีการคุ้มครองสิทธิของสื่อ และประชาชน ในการแสวงหาพยานหลักฐาน เรื่องการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทุจริต เนื่องจากพลเอกประวิตรเป็นบุคคลสาธารณะที่เป็นถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ
สิ่งที่นายไพบูลย์ควรทำในเวลานี้คือ ควรไปสืบหาความจริงว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รับเงินจาก "โอ๋" จริงหรือไม่ แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย โดยหวังผลเรื่องการได้งบประมาณแผ่นดินจริงหรือไม่ แล้วมาแจ้งให้ประชาชนรับทราบ และที่สำคัญ
"ผมขอแนะนำนายไพบูลย์ควรไปตรวจสอบคนใกล้ชิด ลุง ว่ามีบริวารเป็นพิษหรือคนใกล้ชิดทรยศหักหลังหรือไม่ ทำความสะอาดในพรรคตัวเองก่อน ตามหาตัวคนแอบอัดคลิปว่ามีบริวารคนไหน เป็นพิษ เป็นไอ้โม่ง คลายปมสงสัยให้ประชาชนที่กำลังติดตามข่าวนี้ ดีกว่ามาไล่ฟ้องสื่อ ถ้าทำไม่ได้ก็ควร พิจารณาตัวเอง ลาออกจากเลขาฯพรรคไปเถอะ อย่าโยนบาปให้คนอื่น หมดยุคสว.ลากตั้ง และองค์กรอิสระทั้งหลาย กำลังผลัดใบบ้านเมืองเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย ไม่ใช่ยุคเผด็จการทหารแล้ว เชื่อว่าหน่วยงานทุกองค์กรอิสระต้องสร้างความกระจ่าง และนำความจริงสู่สังคม " นายพร้อมพงศ์กล่าว