‘สมาพันธ์คนงานรถไฟ’ จี้ผู้ว่ารฟท.ดำเนินการทางกฎหมายกับปชช.บุกรุกที่เขากระโดงตามคำพิพากษาของศาลโดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลการการเมือง
สืบเนื่องจาก นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงปัญหาที่ดิน เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา แล้วให้สัมภาษณ์ว่า จากการพบปะประชาชนก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่ที่ดินของรฟท. แต่เป็นที่ที่ประชาชนสามารถอยู่ได้ และมีการใช้การเมืองกระทบสิทธิประชาชนอย่างน่ารังเกียจ ขณะที่ นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ระบุว่า การจะเพิกถอนเอกสารสิทธิ์หรือไม่หลักฐานต้องปรากฎชัด 100%
สมาพันธ์คนงานรถไฟ (สพ.รฟ.) Railway Workers’ Confederation (R.W.C.) โดยนายสุวิช ศุมานนท์ ประธาน สพ.รส.ได้ทำจดหมายเปิดผนึก ถึง ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2567 เรื่องขอให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่ในที่ดินเขากระโดงของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามคำพิพากษาของศาล อ้างถึง 1. พระราชบัญญัติการจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 สิ่งที่ส่งมาด้วย 2 ฉบับ 1. คำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 2. คำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567
โดยจดหมายเปิดผนึก มีใจความว่า ตามที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกา ศาลอุทรณ์ ศาลปกครอง คำวินิจฉัยของกฤษฎีกา คำชี้ขาดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สรุปได้ว่ามีการพิสูจน์ ทั้งทางกฎหมาย ทางประวัติศาสตร์ ทางภูมิศาสตร์ ทางสังคมวิทยา พื้นที่เขากระโดงทั้งหมด 5,083 ไร่ 80 ตารางวา เป็นพื้นที่ของการรถไฟฯ ซึ่งเป็นไปตามที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทาน พื้นที่เขากระโดงให้กรมรถไฟหลวง และให้การรถไฟฯ ใช้ทรัพยากรไม้และหินในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ไปสร้างทางรถไฟ และตามพระราชกฤษฎีกา 2462
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567 จากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมที่ดิน พอสรุปได้ว่า 1. ประชาชนอยู่ในพื้นที่ดินเขากระโดงตั้งแต่ปี 2460 2. อ้างว่าการรถไฟไปลิดรอนสิทธิ์ของชาวบ้าน 3. อ้างว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง 4. ไม่มีแผนที่ท้ายกฤษฎีกาคำชี้แจงประกอบข้อเท็จจริงการบิดเบือนของนักการเมืองและข้าราชการที่รับใช้นักการเมือง ดังนี้
ประเด็นที่ 1. จากการพิสูจน์ตามหลักฐานที่มีอยู่ตามข้อเท็จจริง ในปี 2460 นั้น เขากระโดงเป็นพื้นที่ป่าดงดิบและภูเขาไม่มีผู้ใดอยู่อาศัย ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ทหาร ตามหลักฐานที่ประกอบในการพิจารณาของศาล การที่อ้างว่ามีประชาชนอยู่ตั้งแต่ปี 2460 นั้นจึงเป็นความเท็จ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะถ้าเป็นจริงดังกล่าวอ้าง ประชาชนผู้ฟ้องร้องต่อศาลต้องยกขึ้นมาต่อสู้ในชั้นศาลแล้ว จริงแล้วผู้ที่อยู่ในพื้นที่กลุ่มแรก คือกลุ่มคนที่เข้าไปทุบหินเพื่อนำออกมาขาย หรือเข้าไปรับจ้างนายทุนบางคนเพื่อนำมาขายให้การรถไฟฯ
ประเด็นที่ 2. ข้อเท็จจริง พื้นที่ดังกล่าวแต่ดั้งเดิมไม่มีชาวบ้านมาอยู่อาศัย มีเพียงแค่ 18 ราย ดังประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี 2462 มีพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง
ดังนั้น การอ้างว่าการรถไฟฯไปลิดรอนสิทธิ์ของชาวบ้านจึงเป็นเพียงข้ออ้าง มีแต่ชาวบ้านที่ไปลิดรอนสิทธิ์การรถไฟฯ มากกว่า โดยการบุกรุกที่ดินของการรถไฟฯ จะดูได้จากสำนวนการให้การต่อศาล ประชาชนต่างให้การต่อศาลว่าที่ดินได้มาโดยการซื้อจากผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่เป็นเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลทางการเมืองมาจัดสรรแบ่งขายเป็นแปลง ๆ ประชาชนท้องถิ่นดั้งเดิมสมัยพื้นที่ยังเป็นป่าดงดิบนั้นไม่มี และการรถไฟฯ เองไม่เคยฟ้องร้องประชาชนในพื้นที่นี้ มีแต่ประชาชนที่ฟ้องการรถไฟฯ เพื่อจะนำที่ดินของการรถไฟไปเป็นของตนเอง
ประเด็นที่ 3. ไม่มีการกลั่นแกล้งทางการเมืองมีแต่การเมืองจะเอาที่ดินเขากระโดงไปเป็นของตนเอง ตั้งแต่ปี 2513 มีนักการเมืองคนหนึ่ง ตกลงกับการรถไฟฯ ยอมรับว่าอยู่ในที่ดินของการรถไฟฯ แต่ขออาศัยอยู่ไปพลางๆก่อน แต่พอปี 2515 กลับนำที่ดินดังกล่าวไปขอออกเอกสารสิทธิ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบเพื่อออกการรังวัด กลับเป็นชุดเดียวกันกับที่ออกเอกสารสิทธิ์บริเวณนั้นหลายแปลง เป็นเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยมิชอบ หลักฐานดังกล่าวอยู่ในชั้นสอบสวนของคณะกรรมมาธิการ ป.ป.ช.สมัยพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช เป็นประธานคณะกรรมมาธิการและยังใช้อิทธิพลทางการเมืองออกเอกสารสิทธิ์อีกหลายแปลง นำที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์นั้นไปจำหน่ายถ่ายโอนให้กับชาวบ้านจำนวนมาก โดยเอาชาวบ้านเป็นตัวประกัน ถ้าเกิดปัญหาการดำเนินการทางกฎหมายก็จะอ้างประชาชนเหล่านั้นถูกรังแก หรือเอาที่ดินบางแปลงไปทำจำนองกับธนาคารหลายแห่ง แต่มีธนาคารบางแห่งไม่ยอมรับจำนองเพราะรู้ว่าเป็นที่ดินมีปัญหา เพราะเป็นที่ดินของการรถไฟฯ
ประเด็นที่ 4. แผนที่หรือแผนผังของพื้นที่ดินของพื้นที่เขากระโดง ของการรถไฟฯได้ถูกกำหนดไว้ชัดเจนตั้งแต่ปี 2462 ซึ่งประกอบการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา และยังมีแผนที่ประกอบอีกหลายฉบับ รวมทั้งแผนที่ทหารปรากฏชัดเจนว่าพื้นที่เขากระโดงเป็นของการรถไฟฯ หลักฐานต่างๆเหล่านี้ปรากฏในหลักฐานที่ศาลฎีกาใช้ประกอบการวินิจฉัยพิพากษาว่าพื้นที่ดินเขากระโดง เป็นของการรถไฟ ซึ่งล่าสุดการตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ได้มีการตรวจสอบเขตที่ดินของการรถไฟ โดยเบิกค่าใช้จ่ายในการสำรวจที่ดิน จากการรถไฟประมาณหนึ่งล้านสองแสนกว่าบาท โดยคณะกรรมการชุดเล็กสำรวจพื้นที่ของการรถไฟฯชัดเจน รายงานให้คณะกรรมการชุดใหญ่ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณา แต่คณะกรรมการชุดใหญ่ก็ไม่ได้นำเอกสารหลักฐานเหล่านี้ขึ้นพิจารณาแต่กลับไปมีมติ ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ โดยอ้างว่าการรถไฟฯไม่มีหลักฐานการเป็นเจ้าของพื้นที่เขากระโดง
ข้อสังเกตนักการเมืองชอบกล่าวอ้างว่าให้ยึดหลักกฎหมายแต่การตัดสินของศาลนั้นได้ทำอย่างรอบคอบ ประกอบกับมีหลักฐานทุกอย่าง ยึดหลักกฎหมาย มีเหตุผลจึงได้พิพากษาให้พื้นที่เขากระโดง 5,083 ไร่เป็นของการรถไฟฯ และศาลปกครองได้พิพากษาสั่งการให้ดำเนินการตามกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ตั้งคณะกรรมการเพื่อไปดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกานักการเมืองควรจะทำเป็นตัวอย่างปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามคำพากษาของศาล
ดังนั้นการที่ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่กรมที่ดินออกข่าวบิดเบือนเรื่องพื้นที่เขากระโดง(ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย) ทั้งที่การรถไฟฯมีเอกสารหลักฐานอยู่ครบถ้วนถูกต้อง ควรดำเนินการให้ชัดเจน ไม่เป็นที่สงสัยของสังคม ว่าการรถไฟฯในฐานะเจ้าของทรัพย์สินกลับนิ่งเฉย ไม่ทำอะไร ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่กรมที่ดินออกข่าวบิดเบือน เพื่อให้ชัดเจนดังนั้นการรถไฟฯควรดำเนินการทางกฎหมายกับประชาชนผู้ที่อยู่ในพื้นที่ดินเขากระโดงโดยมิชอบตามคำพิพากษาของศาล โดยไม่ต้องเกรงต่ออิทธิพลทางการเมือง และผู้ใดมีความประสงค์จะขออยู่ในพื้นที่ให้มาทำสัญญาเช่าให้ชัดเจน เพราะขณะนี้มีนักกฎหมายจำนวนมากพร้อมที่จะรับหน้าที่แทนการรถไฟฯเพียงแต่ให้เซ็นมอบอำนาจให้ดำเนินการบังคับคดีเพียงเท่านั้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้กระบวนการทางกฎหมายได้ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัดและเที่ยงธรรมเป็นไปตามคำพิพากษาของศาล เป็นการรักษาไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรม