“ข้อโจมตีการขุดคุ้ย โดนมาตลอดอยู่แล้ว ไม่เคยได้พัก ไม่เคยบอกว่าจะมาเป็นแคนดิเดตหรือเปล่า เป็นไม่เป็น จะยังไงโดนมาตลอด ไม่เห็นเคยพักเลย เพราะฉะนั้น คิดว่าไม่ได้มีอะไรที่จะต่างไปจากตรงนี้”
หมายเหตุ*น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊งค์” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ สำนักข่าว The Better กรณีความพร้อมในการสู่สนามเลือกตั้ง การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีรวมทั้งมุมมองในการแก้ปัญหาประเทศ โดยมีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้
“แพทองธาร” บอกว่า อันดับแรกที่ฝันถึง ที่อยากเห็นว่าประเทศไทยดีขึ้น คืออยากให้เป็นประเทศที่มีรายได้จากเดิมปานกลางขึ้นไปเป็นประเทศที่มีรายได้สูง แน่นอนมันอาจจะใช้เวลาเกิน 4 ปี เพราะอย่างแรกต้องแก้ปัญหาเดิมก่อน ไม่ใช่ดีดนิ้วแล้วทุกอย่างจะสําเร็จ ก็ต้องแก้ปัญหาเดิมก่อน แล้วก็อาจจะเกิน 4 ปี
ขณะเดียวกันอยากเห็นประเทศไทย ได้ปักหมุดอะไรสักอย่างเช่น เป็นมหาอํานาจในเรื่องของอะไรสักอย่าง เช่นอาจจะมีครัวไทยสู่ครัวโลก อาจเป็นเรื่องของอาหารก็ได้ ถ้าคนต่างชาตินึกถึงเรา นึกถึงอาหารไทยก็ได้ ให้รู้สึกว่า ประเทศไหนก็ตามที่บินเข้ามาในประเทศไทย จะมีอาหารไทย ที่เป็นที่รู้จักเป็นที่ใหม่ของโลก ก็อยากให้ปักหมุดอะไรบางอย่างแบบนี้
อย่างไรก็ตามถ้าเพื่อไทยได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล สิ่งแรกที่ต้องทําคือต้องแก้ปัญหาก่อนคือต้องลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้ประชาชน เพราะถ้ารายจ่ายของคนยังไม่ลดลง ทําให้เขาไม่มีโอกาสในการหารายได้ โอกาสที่จะสบายในชีวิตยากขึ้น
“เราก็เลยใช้การลดหนี้ ลดรายจ่ายก่อนเลยอันดับแรก แล้วก็หาวิธีเพิ่มรายได้ให้เขา แล้วก็ขยายโอกาส ขยายโอกาสคืออะไร คือเด็กสมัยใหม่ จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป เราอยากจะเพิ่มให้ เขาไม่ได้มีแค่ความรู้ในบทเรียนหรือแค่ในห้องเรียนเท่านั้น อาจจะเป็นการขยายศักยภาพด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี หรืออยากเป็นเชฟ ตอนนี้อาชีพไม่ใช่จํากัดแล้ว ไม่ใช่แค่ข้าราชการ ครู เด็กอาจจะอยากเป็นเชฟระดับโลก ก็สามารถผลักดันตรงนั้นได้ ขยายศักยภาพให้เขา เพิ่มสกิลเหล่านั้น อันนี้คือสิ่งที่ต้องเพิ่มโอกาสกันไปในประเทศ”
สำหรับปัญหาอุปสรรคที่ทําให้ประเทศไทย ไม่ไปไหนนั้น “แพทองธาร”มองว่า มันมีหลายอย่างมากจริงๆ ที่ทําให้เป็นอุปสรรค อย่างแรกเลย ที่ลงพื้นที่คือเรื่องปัญหาของยาเสพติด ซึ่งมันเรียกว่าเป็นพื้นฐานของทุกอย่างก็ว่าได้
“ถ้าเยาวชนหรือชาวบ้านยังสามารถหายาเสพติดได้ง่ายขนาดนี้ ด้วยราคาที่ถูกขนาดนี้ ถูกกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วด้วยซ้ำ คืออาหารการกินมันแพงกว่ายาเสพติด มันก็ไม่ใช่แล้ว พอยาเสพติดมันกระจายไปทุกชุมชน กระจายไปทุกช่วงทุกวัยของอายุ มันทําให้ตัดโอกาสมากๆเลย คิดดูว่าถ้าคนติดยา ยังเมาอยู่ ยังเกิดอาการคุ้มคลั่งอยู่แล้วประเทศมันจะเอาคนศักยภาพดีๆ ที่ไหนไปพัฒนา มันต้องถูกแก้ก่อนเลยอันดับแรกคือเรื่องยาเสพติด”
นอกจากนี้ต้องลดความเหลื่อมล้ำซึ่งประเทศไทยติดหนึ่งในสิบของโลก แปลว่ารวยกระจุกจนกระจาย นี่คือการผูกขาด มีการผูกขาดเยอะมาก เพราะฉะนั้นนักธุรกิจตัวเล็กตัวน้อย หรือว่าคนชาวบ้านที่อยากจะทําธุรกิจของตัวเองขึ้นมาไม่มีโอกาส ไม่มีเวที ไม่มีช่องให้เขาได้ทําอาชีพหรือ แบรนด์ สมมุติใครเขาอยากจะทําเป็นแบรนด์ เช่น สุราพื้นบ้าน ก็ทําไม่ได้ ขายไม่ได้ ผิดกฎหมายอะไรอย่างนี้
“แพทองธาร”แสดงความมั่นใจว่า ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเศรษฐกิจฟื้นแน่ เพราะเคยทํามาแล้ว เคยเป็นรัฐบาลมาแล้ว เราทราบว่าประชาชนกําลังเจอกับปัญหาอะไร และควรจะเริ่มแก้จากตรงไหนก่อน ซึ่งตอนเป็นฝ่ายค้าน ก็เก็บข้อมูลมาโดยตลอด เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆมาคุยมาให้ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นทางการแพทย์ นักวิชาการทางเศรษฐกิจ
“อิ๊งค์เอง ก็ไม่รู้ทุกเรื่องแน่นอน มันไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง อายุเท่านี้ แต่เรามีทีม เรามีความตั้งใจ แล้วก็มีคนที่มีความสามารถอยู่ในพรรคอยู่แล้ว เราคุยกันเป็นทีมแล้วก็พยามหาตัวช่วยต่างๆ ที่จะมาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดยที่เราไม่ได้จัดแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พยายามจะเอานโยบายที่สามารถจะช่วยคนทั้งประเทศได้” แพทองธาร กล่าว
สำหรับวิกฤตทางการเมืองนั้น “แพทองธาร”มองว่า เสถียรภาพทางการเมืองสําคัญมาก คือทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ของประเทศไทย
“เราจะมาล้มกระดานกันบ่อยครั้งมันไม่ใช่ เราต้องบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคืออะไร เราต้องเคารพเสียงของประชาชนใช่ไหม คําตอบคือใช่ เราต้องเคารพเสียงของประชาชน เขาเลือกมา เพราะชอบพรรค ชอบนโยบาย มีความหวังกับพรรคนั้นจะแก้ปัญหาชีวิตเขาได้ จะทําให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ อันนี้คือสิ่งที่เขาเลือก เพราะฉะนั้น มีวิกฤตอะไร ควรจะนำเข้าสภา แก้ไขปัญหาตามระบอบตามระบบที่วางไว้ไม่งั้นจะวางระบบไปเพื่ออะไร”
ทั้งนี้มีกฎหมายเป็นร้อยเป็นพันฉบับ มีที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แน่นอนมนุษย์คิดต่างกัน แต่เราก็มีกฎ คนส่วนมากเคารพเพื่อจะต้องไปตามนั้น ไม่ใช่ว่าจู่ๆ การเมืองไม่เป็นอย่างที่เราคิด ก็ล้มกระดานรัฐประหาร เริ่มใหม่ ประเทศบอบช้ำ คนไทยเสียโอกาส รัฐประหารเพื่ออะไร ได้อะไร กลับมาลองศึกษา ดูตัวเลขก็ได้ เราไม่ต้องเอาอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาวัด เราเอาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นว่าประเทศสูญเสียอะไรไปบ้างเสียโอกาสอะไรไปบ้าง
“ถ้าใครจะคิดว่าแน่นอนสิ อิ๊งค์ ฝั่งเพื่อไทยต้องคิดแบบนี้ เป็นลูกคุณพ่อที่โดนรัฐประหารต้องคิดแบบนี้ เราต้องเอาความจริงมาดู เราไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ เราต้องพูดด้วยหลักการ ว่า ล้มกระดานไม่ได้ทำให้ประเทศมีการเมืองที่มีเสถียรภาพและทําให้ประเทศไปข้างหน้าไม่ได้”
ในส่วนการรับมือกับการโจมตีอะไรต่างๆ นั้น ถ้าเป็นเรื่องของการเมืองก็โดน มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วถามว่ามันมีมิติที่ต่างกันตอนเด็กอาจจะโดน ตอนโตขึ้นมาโดนอีกหนึ่ง เข้ามาทํางานในเพื่อไทยแล้วโดนอีก ก็รับมือด้วยหลักการ รับมือด้วยความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่างที่บอก มนุษย์มีหลายความคิด นานาจิตตังไปเรื่อย แต่ว่าเราต้องรู้ว่า หลักเกณฑ์คืออะไร แล้วเราต้องยึดมั่นในส่วนที่เราเชื่อ ส่วนที่เราจะใช้มันต่อไปในชีวิต เช่นเรายึดหลักประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะต้องเป็นหลักสําคัญในการดําเนินชีวิต
“การรับมือของอิ๊งค์ เข้มแข็งเชื่อในจุดยืน อันนี้คือสิ่งที่คิดว่าทําให้ดําเนินชีวิตมาได้ ตั้งแต่ลงพื้นที่มาถึง ตอนนี้ถือว่ายังไม่โดนนะ อย่างมากลงพื้นที่นักข่าวมีคําถามมาให้ สิ่งที่เราตอบไม่ได้ คือสิ่งที่เราไม่ทราบ เราก็ตอบว่าเราไม่ทราบ”
เมื่อถามว่าหนักใจไหมตอนนี้เป็นแคนดิเดตนายกฯแล้วอาจมีกระแสโจมตีอีกเยอะ “แพทองธาร”บอกว่า ข้อโจมตีการขุดคุ้ย โดนมาตลอดอยู่แล้ว ไม่เคยได้พัก ไม่เคยบอกว่าจะมาเป็นแคนดิเดตหรือเปล่า เป็นไม่เป็น จะยังไงโดนมาตลอด ไม่เห็นเคยพักเลย เพราะฉะนั้น คิดว่าไม่ได้มีอะไรที่จะต่างไปจากตรงนี้
“ถ้ามีอะไรที่สงสัย เมื่อมีคนถาม ก็จะตอบไปตามในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตอบด้วยหลักการหรือตอบถามความรู้สึกก็ได้ ก็ปล่อยให้มันเป็นตามนั้นไป”
ด้านคุณสมบัติการเป็นผู้นํา ที่จะทําให้ประเทศไทยมันดีขึ้นกว่าเดิมนั้น “แพทองธาร”มองว่า จะเป็นผู้นําประเทศ ผู้นําองค์กรนั้น ต้องเป็นคนที่ต้องไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว ต้องมีที่สําหรับการเรียนรู้ อันนี้คือได้มาจากคุณพ่อโดยตรง
“ในสายตาเรา คุณพ่อเป็นคนเก่งมาก แต่คุณพ่อไม่เคยรู้สึกว่าคนอื่นไม่เก่ง อันนี้คือสิ่งที่เขาคิดเสมอว่า เขาจะสามารถหาความรู้ได้จากเด็กต่างรุ่นต่างวัยเพราะมันจะเป็นสิ่งที่เด็กเหล่านั้นเจอมาในชีวิตบางทีศึกษาจากหลาน 6 ขวบ 8 ขวบ ในตอนนี้เขาทําอะไรกัน เขาเล่นเกมอะไรกัน คือรู้สึกว่าผู้นําที่ดีต้องมีการเรียนรู้สําหรับการรับสิ่งใหม่ๆเข้ามา และผู้นําต้องมีความเข้าใจเห็นใจคนอื่น เห็นใจเข้าใจประชาชน ต้องเข้าใจหัวอกซึ่งกันและกัน”
อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่าแสดงว่าพร้อมจะเป็นนายกใช่ไหม “แพทองธาร” บอกว่าอันนี้ต้องแล้วแต่ประชาชน คิดว่าเป็นนายกหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะทําเพื่อประชาชนแล้ว
ในส่วนที่มีการปราศรัยจะพาคุณทักษิณกลับบ้านนั้นจะกลับด้วยวิธีไหน “แพทองธาร”ปฏิเสธว่า ไม่ได้พูดอย่างนั้น
“เรื่องคุณพ่อกลับบ้านนั้น อันนี้เรามีความคิดถึง ถ้าฟังดีๆ อิ๊งค์ไม่ได้พูดว่า จะพาคุณพ่อกลับบ้าน แต่พูดว่าให้ลุงโทนี่กลับมา ลุงโทนี่ก็น่าจะกลับมาเลี้ยงหลานได้แล้ว อันนี้ ถ้าใครตาม Instagram อิ๊งค์ มาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มมี Instagram เลย อย่างวันเกิดท่าน วันปีใหม่ก็อวยพรให้ท่านกลับบ้านทุกปี
ความเป็นลูก ถ้าบอกว่าไม่เลย ฉันไม่อยากให้พ่อกลับบ้าน อิ๊งค์โกหกค่ะ ไม่จริง อยากให้พ่อกลับบ้านทุกวัน วันฤกษ์งามยามดี ก็จะอวยพรขอให้พ่อได้กลับบ้าน ขอให้พ่อได้กลับมาเลี้ยงหลาน ตอนนี้คนครึ่งแล้ว มีหนึ่งคนออกมาแล้วอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในนี้ มันเป็นธรรมชาติแล้วก็ธรรมดามากสําหรับอิ๊งค์ เพราะฉะนั้นไม่ได้บอกว่าถ้าจะชนะเลือกตั้งเพื่อเอาคุณพ่อกลับบ้าน มันเป็นแค่อารมณ์หนึ่งของลูกสาวที่อยากให้พ่อกลับบ้าน อยากให้คุณตากลับมาเลี้ยงหลานแค่นั้น”
“แพทองธาร”ยอมรับว่า การตั้งครรภ์นั้นย่อมเป็นอุปสรรคต่อการหาเสียงบ้าง เพราะถ้าจะพูดว่า คนท้องมันไม่รู้สึกอะไรเลย มันไม่จริง ใครเคยท้องก็ออกมายืนยัน ว่ามันไม่จริง คือมันเหนื่อยจริง แต่ก็โชคดีที่มีเทคโนโลยี แต่ก็อยากไปหาเสียง อยากไปเจอพี่น้องประชาชน มันก็ยังไหว
อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ไปปราศรัยหาเสียงมาหลายจังหวัดจนถึงขณะนี้ ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทย จะชนะแบบแลนด์สไลด์ เรามีความตั้งใจมาก แล้วเชื่อว่าประชาชนที่อาจเคยชอบหรือไม่เคยชอบเรามาก่อน เขาก็อยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อยากเห็นโอกาสของประเทศ อยากออกจากจุดนี้ที่เป็นหนี้เป็นสิน ฉะนั้นคิดว่าเพื่อไทยทําได้ เพื่อไทยจะเป็นคําตอบของประชาชนได้
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเคยเป็นรัฐบาลนานมาแล้ว เมื่อก่อนเป็นไทยรักไทย ในวันนั้นเกือบ20ปีแล้ว เราทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น จนเทียบเท่าสิงคโปร์ และตอนเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเอง เราก็ทําเศรษฐกิจให้ดีขึ้นมากเช่นกัน ฉะนั้น เพื่อไทยมีประสบการณ์ มีคนมีคุณภาพ และมีคนที่ตั้งใจจริงในการอยากจะทําให้ประเทศดีกว่านี้
“อยากให้พี่น้องประชาชนไว้ใจ ว่านโยบายอะไรที่ออกไปจากเรา ถ้าเราพูดแล้วเราไม่ทํา เราเสียเอง อันนี้ถ้าเป็นอิ๊งค์ ในการเลือกตั้งก็คงจะต้องมองว่าถ้าพรรคที่พูดแล้วทําได้อันนั้นก็คือความหวังและเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นความความหวังให้พี่น้องประชาชน”แพทองธาร กล่าวทิ้งท้าย