กกต.เปิดละเอียดหลักฐาน "เกศกานดา" ผู้สมัคร สส.กทม.ปชป.ซื้อเสียง หลังแจกใบดำ-ใบแดง สั่งเพิกถอนสิทธิ-ฟันอาญาต่อ
เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.ที่มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง พร้อมดำเนินคดีอาญา น.ส.เกศกานดา อินช่วย ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 16 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพิ่มเติมอีกหนึ่งคดี
โดยเป็นกรณีที่ กกต.ได้ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนว่า ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง สส. วันที่ 2 พ.ค.2566 เวลากลางวัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า นายสถาพร ไกรถวิล ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของ น.ส.เกศกานดา ผู้ถูกร้องที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวนัดหมายให้ น.ส.เกศกานดา มาพบกับที่บ้านพักของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวในช่วงเวลาค่ำของวันเดียวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง และมีบทสนทนาตอนหนึ่ง ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวถามว่า “เอาแบบเปล่าเลยเหรอ” และนายสถาพร ตอบว่า “เอาแบบนั้นแหละ ไม่มีทางเลือกแล้ว ไม่ต้องจด ทำอะไรก็ทำไปเลย ผมบอกน้องมันแล้ว บอกให้ไปเหอะ พวก ๆ กันทั้งนั้น ก็เดี๋ยว ช่วยสัก 40 เสียง 30 เสียง ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะว่าเราก็อยากให้ตังค์เอาไว้ใช้ ไม่เสียหายอะไรหรอก”
บทสนทนาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับการแจกเงินซื้อเสียงว่าจะต้องจดรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือไม่ ต่อมาเวลาประมาณ 18.10น.ของวันเดียวกัน นายสถาพร ไปที่บ้านของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวขอให้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ น.ส.เกศกานดา เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวเป็นประธานหมู่บ้านวงศกร 5 และเป็นตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นในพื้นที่
จากนั้นเวลาประมาณ 18.30 น. น.ส.เกศกานดา นายฐนวัฒน์ ภูมี ผู้ถูกร้องที่ 3 และพยานผู้ถูกร้อง เดินทางมาถึงบ้านผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าว ผู้ถูกร้องทั้งสามพูดคุยกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวในทำนองขอให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวแบ่งคะแนนเสียงของหมู่บ้านวงศกร 5 ให้แก่น.ส.เกศกานดา ซึ่งบทสนทนาช่วงหนึ่ง น.ส.เกศกานดา พูดว่า “เกศก็พอรู้ว่าพี่สถาพรโทรมาคุยกับพี่เรื่อยๆ วันนี้เลยอยากมาหาพี่ เกศอยากจะขอโอกาส เพราะว่าแนวโน้มที่โพลออกมา เกศก็มีโอกาส แต่เกศตามอยู่นิดหนึ่ง แต่ของคุณบอนคะแนนมันไม่ขึ้นเลย ไม่ติด 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 เลยด้วยซ้ำ เกศเลยว่าในเมื่อเกศเป็นคนแพ้ เกศหาคะแนนเพิ่มอยู่แล้ว ดังนั้นเกศอยากจะขอคะแนนที่ไปให้คุณบอน ขอถ่ายมาเป็นฝั่งเกศ เพราะว่าเกศมีโอกาสมากกว่า ไม่อย่างนั้น ก็เสียของ เกศก็ไม่อยากให้คะแนนมันหายไปเลย เกศแพ้มาก่อน เกศหาคะแนนเพิ่มอย่างเดียว เอาทุกวิถีทาง อย่างที่พี่โตบอก เอาทุกวิถีทาง” โดยคำว่าพี่โต หมายถึงนายฐนวัฒน์ และบอนหมายถึงผู้สมัครรับเลือกตั้ง คนหนึ่ง ซึ่งนายฐนวัฒน์ พูดว่า “ตอนนี้โพลติด 1 ใน 3 มีเบอร์ 4 เบอร์ 14 เบอร์ 11 แต่เบอร์ 5 มีปละปลาย ไม่ติด 1 ใน 4 ถ้ามันพอพลิกเกมได้ก็อยากจะพลิก เพราะว่าพี่ดันทางพี่บอนใช่ไหมมันก็ไม่ขึ้นอยู่ดี เพราะเปอร์เซ็นต์มันไม่ขึ้นเลยนะ เผื่อว่าพี่มาช่วยเกศ” นายสถาพร พูดว่า “ตามนิดเดียว วันนี้ซอย 2 ซอยพวกเย็บผ้า พนักงานแรงงาน ผมก็ใส่ไปแล้ว 20 คน ช่วยเหลือไปคนละ 500 ห้าร้อยมันถึงแฮปปี้ไง ถ้าได้มาสัก 200กว่า มันจะทำให้ตัวเลขมันขึ้น” ปรากฏตามบันทึกเสียงการสนทนา ตั้งแต่นาทีที่ 26.21
จากบทสนทนาดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ถูกร้องทั้งสามพูดคุยเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งและการแจกเงินซื้อเสียง ประกอบกับจากการ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด นาทีที่ 1.42.30 ปรากฏภาพ น.ส.เกศกานดา นำธนบัตรจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะ แล้วนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าววางทับเอาไว้ พร้อมกับพูดว่า “อันนี้เกศฝาก ฝากวางไว้ก่อน เกศไม่สร้างความลำบากใจ เกศเข้าใจ แต่ถ้าทอนตรงไหนมาได้ก็ทอนมาให้เกศหน่อย ด้วยของตัวพรรค บอนเองอ่ะคนในพื้นที่เขาก็ไม่ได้ชอบเยอะ เกศก็เลยหนีไปอยู่ประชาธิปัตย์ไง ยังไงให้เกศมีคะแนนบ้างล่ะ” ปรากฏตามบันทึกเสียงการสนทนา นาทีที่ 48.26 ซึ่งเมื่อพิจารณาภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดตั้งแต่ นาทีที่ 1.42.30 เป็นต้นไป และขยายภาพขณะที่ น.ส.เกศกานดา วางวัตถุบนโต๊ะ และขณะผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวหยิบวัตถุดังกล่าวขึ้นมาจากโต๊ะนำมาใส่กระเป๋ากางเกง และล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงนำมาใส่ถุงพลาสติกใสและเก็บวัตถุดังกล่าวไว้ในตู้ น่าเชื่อได้ว่าวัตถุดังกล่าวเป็นธนบัตรที่อยู่ในลักษณะพับครึ่งจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เอกสารหาเสียงเลือกตั้งตามที่ผู้ถูกร้องทั้งสามกล่าวอ้าง เนื่องจากหากเป็นเอกสารหาเสียงเลือกตั้งที่มี ลักษณะเป็นบัตรแนะนำตัวตามที่นายฐนวัฒน์ ส่งมอบให้แก่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนเพื่อประกอบการให้ถ้อยคำแล้ว การวางบัตรแนะนำตัวซึ่งเป็นกระดาษที่มีความหนาและมีน้ำหนักมากกว่าธนบัตรนั้นไม่จำต้องนำวัตถุอื่นมาวางทับไว้ ซึ่งตามภาพที่ปรากฏวัตถุดังกล่าวมีลักษณะโค้งงอเหมือนกับธนบัตรจำนวน หนึ่งที่พับครึ่งไว้ มิใช่ลักษณะของบัตรแนะนำตัว
อีกทั้งจากการตรวจสอบการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ ระหว่างผู้ร้องกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าว เมื่อวันที่ 5 วันที่ 7 และวันที่ 12พ.ค.2566 หลังจากที่ น.ส.เกศกานดา ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวแล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวประสงค์จะขอคืนเงินบางส่วนให้นายสถาพรเนื่องจากเพิ่งแจกเงินไปหนึ่งหมื่นกว่าบาท กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า น.ส.เกศกานดากระทำการและก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสถาพร และนายฐนวัฒน์ ให้เงินดังกล่าว แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือกตั้ง อันเป็นการ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 16 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.เกศกานดา มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
จึงมีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งของ น.ส.เกศกานดา อินช่วย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138วรรคหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญา แก่ น.ส.เกศกานดา, นายสถาพร และนายฐนวัฒน์ ตามกฎหมายเดียวกัน มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 158วรรคหนึ่ง รวมทั้งให้กันผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2560 มาตรา 46 ประกอบระเบียบกกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดี พ.ศ. 2563 ข้อ 5 และข้อ 6