ปชป.สับเละ4โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้ “ดิจิทัล วอลเล็ต” เป็นไปไม่ได้ เตือน"เศรษฐา"หยุดโปรยทานเศรษฐีแนะรัฐบาลกลับสู่โลกความเป็นจริง รื้อนโยบายก่อนหกเดือนถึง1ปี เศรษฐกิจดำดิ่งลึก
นายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตสส.กทม. กล่าวถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญ 4 โครงการของรัฐบาล ว่า ล่าสุดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทที่จะแจกให้กับประชาชน ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง รายงานตั้งแต่ต้นปีก่อนเลือกตั้งไม่มีตัวชี้วัดบ่งบอกว่าประเทศจำเป็นต้องกระตุ้นแบบปูพรมแจกเงิน ซึ่งจะทำให้คนรวยที่ไม่เดือดร้อนได้รับประโยชน์ไปด้วย เข้าข่ายลักษณะโปรยทานให้กับเศรษฐี
นายชนินทร์ กล่าวว่าขณะนี้เศรษฐกิจประเทศมีปัญหาเฉพาะจุด โดยอยู่ที่ปากท้องของผู้มีรายได้น้อย ที่เดือดร้อนจริงรอใช้เงินอยู่ ฉะนั้นรัฐบาลสามารถเร่งแก้ไขได้โดยแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กับคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยความยากจน หรือกลุ่มเปราะบาง ไม่เกิน 20 ล้านคน ใช้งบประมาณไม่ถึง 2 แสนล้านบาท นั่นหมายความว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ไม่ผิดวินัยการคลัง สามารถใช้งบประจำ หรืองบเพิ่มเติมได้ แต่ควรปรับเงื่อนไขการให้เงินที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ใช้ของที่มีอยู่แล้ว เช่น แอพพลิเคชั่นเป๋าตัง ที่สำคัญต้องพิจารณาเงื่อนไขการใช้เงินไม่ให้ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ และให้ไปถึงรากหญ้าอย่างแท้จริง
“พรรคเพื่อไทยตั้งใจหาเสียงแบบประชานิยมตั้งแต่แรก เพ้อฝันให้ประชาชนหลงเคลิ้ม ผมว่าทางที่ดีที่สุดเพื่อไทยต้องรับสารภาพผิดที่หาเสียงพูดเพ้อเจ้อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และอย่าอ้างว่าต้นเหตุที่ทำไม่ได้มาจากกฎหมายหรือมีคนคัดค้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการพูดไม่คิด คิดไม่รอบคอบ คิดใหญ่ทำเป็น เป็นวาทกรรมหลอกลวงของการเมืองที่ต้องการหาเสียงแบบเก่า ขอให้หยุดยื้อความสุขคนจน เพราะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ถือว่าจบแล้วมีหลายด้านที่รออยู่ แม้รัฐบาลจะผลักดันให้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่สุดท้ายก็จะไปเจอกับด่านวุฒิสภา รวมถึงยังจะโดนยื่นตีความทางกฎหมายอีกด้วย” นายชนินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ นายชนินทร์ ยังกล่าวถึงโครงการอีซี่ อี-รีซีท (Easy e-Receipt) ว่ากระตุ้นไม่เข้าเป้า ผิดเป้าหมายทั้งกลุ่มคนที่รับประโยชน์ และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการล้วนเป็นคนที่มีฐานะ มีขั้นตอนที่ยุ่งยากต้องมีกระบวนการผ่านบริษัท คนกลาง Service Provider ทำการรับรอง ซึ่งต้องเสียเงิน ทำให้คนเข้าร่วมโครงการลำบาก สรุปสุดท้ายโครงการนี้คนที่ได้ประโยชน์ คือคนรวยและผู้ประกอบการร้านค้ารายใหญ่ แต่รัฐเสียรายได้จัดเก็บไปเกือบหมื่นล้านบาท โครงการนี้แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ควรคำนึงว่าจะทำอย่างไรให้กระตุ้นจากข้างล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่าง
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนการลดภาษีให้อสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่สามารถช่วยคนระดับล่างให้มีที่อยู่อาศัยได้ และไม่สามารถกระตุ้นยอดการโอนหรือยอดขายคอนโดที่พักอาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้ เพราะผู้ซื้อไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ หรืออาจเข้าถึงแต่กลับถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อ กู้ไม่ผ่าน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งมาจากภาคธุรกิจอสังหาฯ ทราบดีว่าควรจะต้องแก้ไขอย่างไร
นายชนินทร์ กล่าวต่อว่ารัฐบาลต้องกลับมาสู่โลกความเป็นจริง โครงการใหญ่ที่เป็นของตายจับต้องได้และลงทุนแล้วคือโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ไม่ควรทิ้ง ขณะที่โครงการแลนด์บริดจ์ที่นายกฯเดินทางไปเกือบทั่วโลก ใช้งบประมาณไปหลายร้อยล้านบาท ถามว่ามีประเทศใดบ้างรับคำเป็นเรื่องเป็นราว การเป็นเซลส์แมนต่างประเทศต้องปรับจูนการสื่อสารให้ชัดเจน ไม่ใช่พูดเหมือนเป็นไบโพลาร์ ไปต่างประเทศพูดอย่าง บอกว่าประเทศพร้อมเศรษฐกิจน่าลงทุน แต่อยู่ไทยกลับบอกว่าประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ที่สำคัญสมัยที่ตนเป็นประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ เคยศึกษาแล้วพบว่าโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อขนถ่ายสินค้าข้ามฝั่งเกิดขึ้นยาก
“อีก 6เดือนถึง1ปี ถ้ารัฐบาลไม่ปรับรื้อนโยบายเศรษฐกิจจะทำให้เศรษฐกิจประเทศดำดิ่งโงหัวไม่ขึ้นจริง และรัฐบาลชุดนี้จะต้องรับผิดชอบ รัฐบาลจะต้องมีชุดนโยบายที่จับต้องได้และถูกจุด ทั้งการเงินและการคลังต้องเดินไปด้วยกัน ดอกเบี้ยจะไปอย่างไร การใช้เครื่องมือภาษีที่มีอยู่ จะลด จะเพิ่ม ต้องใช้ให้ถูกจุด ถูกกลุ่ม นอกจากนี้ต้องเร่งรัดการใช้งบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุนของงบประมาณปี 67 ส่วนการจัดทำงบประมาณปี68 ต้องถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกประการหนึ่งที่สำคัญต้องทำโดยเร่งด่วน คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่จะทำให้ลดการเหลื่อมล้ำทางรายได้ และโอกาสการทำงานของประชาชนในประเทศ” นายชนินทร์ กล่าว