"พิธา-ก้าวไกล"หลังพิงฝาเผชิญมรสุม"ยุบพรรค-ตัดสิทธิ์ 44 ส.ส."งัดแผนป่าล้อมเมืองยึดครองท้องถิ่นสู้เลือกตั้งนายกฯอบจ.ต่อท่อลมหายใจ"ก้าวไกล"

วิบากกรรรม "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์"และพรรคก้าวไกล เกิดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกรณีศาลแขวงดุสิต มีคำพิพากษา จำคุก "พิธา " พร้อมพวก 8 กอบด้วย "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ -ปิยบุตร แสงกนกกุล- พรรณิการ์ วานิช - ณัฏฐา มหัทธนา -พริษฐ์ ชิวารักษ์คน ประ -ธนวัฒน์ วงค์ไชย - ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร " ในคดีแฟลชม็อบปี 62 สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน คนละ 4 เดือน ปรับ 20,200 บาท แต่ให้ รอลงอาญา 2 ปี 

ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว ส่งผลให้ "พิธา"หมดโอกาสจะเป็นนายกรัฐมนตรีทันที เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) ได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี ไว้ว่า ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

อย่างไรก็ตามคดีนี้ยังไม่สิ้นสุด ต้องไปลุ้นกันที่ศาลฎีกา จะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร แต่ในชั้นนี้ เป็นการปิดประตู "พิธา"บนเส้นทางก้าวสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ "พิธา"และ พรรคก้าวไกล ยังต้องไปลุ้นคดียุบพรรค และ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 44 ส.ส.ในความผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ที่เข้าชื่อเสนอแก้มาตรา 112 ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ที่บรรดา "นักร้อง"ยื่นให้ กกต.และ ป.ป.ช.ตั้งแท่นรอไว้แล้ว

ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้ "พิธา"และพรรคก้าวไกล คงหนีไม่พ้นโดนตัดตอนคุมกำเนิดไม่ให้เกิดทางการเมืองสูง และแม้ก้าวไกลจะมีคะแนนนิยมจากประชาชนสูงในขณะนี้ แต่หากถูกยุบพรรคจริง จะทำให้ผู้บริหารพรรคชุด "พิธา" ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี ซึ่งมีจำนวน 10 คน ประกอบด้วย 1.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 2.ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค  3.ณธีภัสร์  กุลเศรษฐสิทธิ์ 4.ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตรตระกูล 5.ปดิพัทธ์ สันติภาดา 6.สมชาย ฝั่งชลจิตร 7.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล 8.เบญจา แสงจันทร์ 9.อภิชาติ ศิริสุนทร และ 10.สุเทพ อู่อ้น 

ในขณะเดียวกัน ถ้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสิน ให้ 44 ส.ส.ก้าวไกล ผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต และ ส่วนใหญ่ เป็นแกนนำพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น อาทิ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ธีรัจชัย พันธุมาศ ศิริกัญญา ตันสกุล เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ณัฐวุฒิ บัวประทุม ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ วาโย อัศวรุ่งเรือง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ รังสิมันต์ โรม

งานนี้ถ้าถูกตัดสิทธิ์ ทางการเมืองตลอดชีวิต พรรคก้าวไกล จะเสียหายหนัก เพราะทำให้ขาดบุคคลากรทางการเมืองทันที โอกาสที่จะหาแกนนำ มาขับเคลื่อนพรรค เพื่อสร้างการยอมรับให้กับแฟนคลับและประชาชน เพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งใหญ่นั้น คงยากเย็นแสนเข็ญ

 แม้ปัจจัยความนิยม "ก้าวไกล" จะยังมีอยู่มาก แต่หากแกนนำที่จะขึ้นมาขับเคลื่อนต่อ ยังขาดประสบการณ์ ประชาชนยังไม่รู้จักดีพอ  ย่อมส่งผลให้คะแนนนิยม พรรคก้าวไกลหรือพรรคอะไร ก็แล้วแต่ที่จะตั้งขึ้นมารองรับในอนาคต ย่อมอ่อนแรงลง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งการเลือกตั้ง ที่จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ จะทำให้ความรู้สึก ความไม่พอใจต่างๆผ่อนคลายลง และรวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น มีปัจจัยอะไร มาเร่งเร้าหรือไม่ อีกทั้งผลงานของรัฐบาลชุดนี้จะสร้างการยอมรับให้ประชาชนได้มากแค่ไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยต่อความนิยมทั้งสิ้น จึงต้องดูกันยาวๆ

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า "ก้าวไกล"จะไม่มีความหวัง แม้จะถูกบั่นทอน เพราะยังเชื่อมั่นในคะแนนนิยมของตนเองทำนอง "ยิ่งยุบยิ่งเกิด"มีการเตรียมแผนรับมือไว้ เบื้องต้นจะใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง โดยพุ่งเป้าไปยึดฐานการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหรือนายกฯอบจ. ที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศในต้นปีหน้า 2568

ทั้งนี้พรรคก้าวไกล ได้เริ่มปฏิบัติการ "ทิศทางพรรคก้าวไกล เพื่อคว้าชัยเวทีท้องถิ่น"ประเดิมไปแล้ว เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ที่จ.ภูเก็ต โดย "ชัยธวัช ตุลาธน" หัวหน้าพรรคนำทีม และจากนี้จะเริ่มเดินสายไปทุกจังหวัด ซึ่งหากคนของพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งในหลายจังหวัด โอกาสที่พรรคก้าวไกล จะชนะการเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

ขณะเดียวกัน กระบวนการยุบพรรคและการตัดสิทธิ์ 44 ส.ส. นั้นคงใช้เวลาสักระยะหนึ่ง และหากผลการตัดสินใกล้กับช่วงการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ก็จะเป็นโอกาสของพรรคก้าวไกล ปลุกกระแส ความไม่พอใจ ให้ช่วยกันเลือกคนของพรรคก้าวไกล

หากแผนยึดครองการเลือกตั้งนายกฯอบจ.สำเร็จ "ก้าวไกล"จะสร้างกระแสได้ต่อเนื่องจนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ และคงจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง "ก้าวไกล"ในเวทีการเมืองไทยได้

อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยยังมีอีกหลากหลายปัจจัยที่เป็นตัวแปร ตราบใดที่ยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง โอกาสพลิกผันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา