ยกบทกลอนเตือนนายกฯ ปากท่านหนาจะฆ่าตัวท่านเอง

ยกบทกลอนเตือนนายกฯ ปากท่านหนาจะฆ่าตัวท่านเอง
“พิทักษ์เดช” ยกบทกลอนเตือนนายกฯ หากปากท่านจะดีมีสินทรัพย์ แต่ปากท่านหนาจะฆ่าตัวท่านเอง

นายพิทักษ์เดช เดชเดโช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในการการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า

ตลอดระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีและฝ่ายบริหาร บริหารราชการแผ่นดินมา 7 เดือน คำแถลงนโยบาย เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลมิได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับประชาชน ตามหลักความเป็นจริง 

นายพิทักษ์เดช กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนว่า สวนทางกับความเป็นจริง เพราะทุกอย่างหยุดนิ่งไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม อาจพูดได้ว่าเป็นนโยบายแห่งมายาคติ ที่แถลงไว้กับรัฐสภาแล้วยังไม่เกิดขึ้นจริง สิ่งที่พูดว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประชาชน นโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลอ้างว่า จะจุดชนวนกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นความผิดพลาดที่คิดนโยบายไม่ครอบคลุม ไม่เป็นไปตามความหวังของประชาชน ตอนนี้ประชาชนรออยู่จากรัฐบาล ทั้งที่แถลงต่อรัฐสภาว่า เป็นเรื่องเร่งด่วน

รัฐบาลมีนโยบายขายฝันทางด้านสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น แต่รัฐบาลไม่มีการแก้ไขปัญหาแม้กระทั่งปัญหาฝุ่นละออง คอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ ความทุกข์ของประชาชนไม่จบสิ้น จากการกระทำของกลุ่มมิจฉาชีพ รัฐบาลไม่ได้สนใจในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ให้เกิดความยั่งยืนที่จับได้ แล้วประชาชนจะพึ่งใคร

นโยบายเร่งด่วนเรื่อง ปัญหาหนี้สินในภาคเกษตร รัฐบาลบอกว่าเร่งด่วน แล้วเมื่อไรจะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายบางอย่างเป็นรูปธรรม พี่น้องเกษตรกรยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับหนี้สินที่เกิดขึ้น เรื่องเกษตรก็ยังไม่ครอบคลุม และนโยบายการจัดการบริหารราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ให้อยู่ในระบบที่เหมาะสม เปรียบเสมือนการขายฝันที่ไม่ได้เริ่มมีการปฏิบัติให้เกิดผล  นายกฯ แถลงต่อรัฐสภาแห่งนี้บอกว่า เป็นเรื่องเร่งด่วน 

การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 1 ในนโยบายของพรรคเพื่อไทย พูดไว้ว่านโยบายและเงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 25,000 บาทขึ้นไป จะเกิดขึ้นภายในปี 2570 นโยบายนี้พูดไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง แต่นายกรัฐมนตรี ก็ได้ประกาศและแถลงไว้ต่อรัฐสภานี้ว่า ในช่วงเดือนกันยายนว่าเป้าหมายแรกของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคือการปรับให้เป็น 400 บาทต่อวันโดยเร็วที่สุด 

ในช่วงวันที่ 12 กันยายน นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลได้จัดให้มีการเจรจา 3 ฝ่าย ระหว่างแรงงาน ผู้ว่าจ้างงาน และรัฐบาล เพื่อเป็นการปรับค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ความเหมาะสมโดยมีเป้าหมาย 400 บาท โดยเร็วที่สุด ต่อมาในช่วงวันที่ 15 กันยายน รมว.แรงงาน ยืนยันว่า จะมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอน เพราะอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบต่ออุตสาหกรรมและการผลิต ในช่วงเดือนกันยายนเช่นกัน นายกรัฐมนตรีประกาศว่า จะปรับค่าแรงขั้นต่ำที่อยู่ที่ประมาณ 400 บาทต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะประกาศในเดือนพฤศจิกายนบังคับใช้ใน 1 มกราคม 

นายกรัฐมนตรี บอกว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันให้เร็วที่สุด ขั้นแรกจะปรับ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 70 ไม่ได้เห็นอะไร ซึ่งมีความย้อนแย้งกันระหว่างคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการไตรภาคี

สัญญาณความเคลื่อนไหวเพื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปรากฏเห็นหน้าชัดว่า เป็นสิ่งที่ทำให้พี่น้องประชาชนรอคอยมาเป็นเวลานาน วันนี้มีการขึ้นก็จริง แต่ว่าขึ้นเพียง 10 จังหวัด แต่ 10 จังหวัดนี้ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกอำเภอทุกตำบล ขึ้นแค่พื้นที่ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจทางโรงแรมเพียงแค่ 10 จังหวัด และอยู่ในบางพื้นที่ของของจังหวัดนั้น ๆ

หลักการสำคัญของการคิดค่าจ้าง คือ การจ้างในอัตราที่จะช่วยให้ผู้ใช้แรงงานสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยค่าจ้างเพื่อชีวิตจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จำเป็น แรงงานไทยควรได้รับค่าจ้างอย่างน้อย 563 บาทต่อวัน ตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำที่เครือข่ายแรงงานเคยเรียกร้องไว้ คือ 712 บาทต่อวัน รวมถึงการประกาศหาเสียงของพรรคเพื่อไทย จะปรับค่าแรงให้เป็น 600 บาทต่อวัน ล้วนแต่เป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าจ้างเพื่อชีวิตข้างต้นที่กล่าวมา

ดังนั้น หากดูตามมติของคณะกรรมการไตรภาคี ล่าสุดที่ออกมาเมื่อ 20 ธันวาคม 2566 ที่ยืนยันว่า ค่าจ้างทั่วประเทศไทยจะเป็น 330 - 370 บาท เช่นเดิม สิ่งที่แถลงต่อรัฐสภาแห่งนี้ ที่นายกรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาแห่งนี้ ถือเป็นสัจจะวาจาและวาจาที่สำคัญไว้ให้กับรัฐสภาแห่งนี้ และพี่น้องประชาชนที่อยู่ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีคนนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารสูงสุดของบ้านนี้เมืองนี้ คำพูดของท่านเป็นนาย หากวันใดท่านให้คำพูดเป็นบ่าว เชื่อว่าบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนี้ไปไม่ได้ 

นายพิทักษ์เดช กล่าวสุดท้ายว่า ขอฝากเป็นสิ่งสุดท้ายเป็นสิ่งเตือนสตินายกรัฐมนตรี เพื่อที่ท่านจะได้ทบทวนคำพูดและเรียกจิตวิญญาณ กลับมาอยู่ในร่างของนายกรัฐมนตรีให้เหมือนเดิม ขอฝากไว้ว่า หากปากท่านจะดีมีสินทรัพย์ แต่ปากท่านหนาจะฆ่าตัวท่านเอง

TAGS: #พิทักษ์เดช #เดชเดโช