“อภิชาติ” แฉ“ธรรมนัส” รู้เห็น ! ออก ส.ป.ก. โดยมิชอบ เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโบรกเกอร์ค้าที่ดินรัฐ

“อภิชาติ” แฉ“ธรรมนัส” รู้เห็น ! ออก ส.ป.ก. โดยมิชอบ เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโบรกเกอร์ค้าที่ดินรัฐ
“อภิชาติ” แฉขบวนการออก ส.ป.ก. โดยมิชอบ เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโบรกเกอร์ค้าที่ดินรัฐ ซัด “ธรรมนัส” รู้เห็น-เปิดช่อง จุดเริ่มต้นจาก “พะเยาโมเดล” แก้กฎระเบียบทำเป็นระบบ เอื้อคนกลุ่มน้อยได้ประโยชน์ 

อภิชาติ ศิริสุนทร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายตั้งคำถามต่อนโยบายเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดที่เรียกว่า “โฉนดเพื่อการเกษตร” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยชี้ว่าเป็นโครงการที่ทั้งไม่ตรงปก และไม่ตรงไปตรงมา เป็นการทุจริตเชิงนโยบายครั้งใหญ่

อภิชาติกล่าวว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลายพรรคการเมืองรวมถึงพรรคก้าวไกล นำเสนอนโยบายด้านที่ดิน ที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีที่ดินเป็นของตนเอง รัฐบาลนี้ก็เช่นกัน รมว.เกษตรฯ กำลังดำเนินการนโยบายเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร โดยที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามโฆษณาป่าวประกาศว่าจะยกระดับสิทธิ์ของ ส.ป.ก. ขึ้นมาเป็นโฉนด เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงในที่ดินมากขึ้น ซึ่งประเด็นนี้ ตนและพรรคก้าวไกลเห็นด้วยในหลักการ แต่เมื่อมาดูวิธีการและสิ่งที่เกิดขึ้นจริง กลับทำให้สงสัยในการดำเนินนโยบายนี้หลายประเด็น 

เรื่องแรก คือนโยบายนี้เป็นนโยบายที่ “ไม่ตรงปก” แม้ว่าธรรมนัส รมว.เกษตรฯ จะย้ำชัดเจนว่า “โฉนดเพื่อการเกษตร” ไม่ใช่ “โฉนดที่ดิน” แต่ปัญหาคือที่ผ่านมา รมว.เกษตรฯ ต่างหากที่เที่ยวไปโฆษณาแบบ “พูดไม่หมด” ว่าจะเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ทำให้พี่น้องเกษตรกรเข้าใจผิดว่า “โฉนดเพื่อการเกษตร” คือ “โฉนดที่ดิน”

“บอกชาวบ้านว่าพอเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดแล้วจะโอนได้ เอาไปค้ำประกันกับธนาคารได้ เข้าถึงแหล่งทุนได้ พี่น้องประชาชนหลายพื้นที่พอได้ยินแบบนี้ก็พากันจะเอาใบ ส.ป.ก. ไปขอเปลี่ยนเป็นโฉนดครุฑแดง คิดไปแล้วว่ากำลังจะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน” 

“สิ่งที่ รมว.เกษตรฯ ทำ กลับแค่การไปแก้ประกาศกระทรวง เพื่อให้โอนที่ดิน ส.ป.ก. กันได้เท่านั้น ส่วนที่รัฐมนตรีบอกว่าจะ ‘เพิ่มมูลค่า’ ของที่ดินโดยให้ ธ.ก.ส. ประเมินราคาเพิ่มได้ หรือเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันได้ ก็ยังต้องรอดูผลหลังจากนี้ว่าธนาคารจะว่าอย่างไร นอกจากนั้นสิทธิอื่นๆ ก็เหมือน ส.ป.ก. เดิม เพียงแต่เรียกชื่อใหม่ว่าโฉนดเพื่อการเกษตร”

สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า เรื่อง ส.ป.ก. กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศสนใจอีกครั้ง ก็ตอนเกิดเรื่องออก ส.ป.ก. ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เมื่อวันที่ 6 มกราคมปีนี้ ในวันนั้นผู้อำนวยการสำนักอุทยานเรียกร้องให้สอบสวน ส.ป.ก จังหวัด ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมทั้งบุคคลที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด

2 วัน ต่อมา ร.อ.ธรรมนัส ก็เล่นใหญ่ นั่งเฮลิคอปเตอร์ลงพื้นที่เคลียร์ปัญหาเป็นการด่วน ทั้งที่เดิมวันนั้นรัฐมนตรีไม่มีหมายกำหนดการลงพื้นที่เขาใหญ่ สงสัยอาจจะมีคนไปกระซิบว่า เรื่องนี้ แจังหวัดเอาไม่อยู่แล้ว อีกฝ่ายเป็นถึง ผอ.สำนักอุทยาน มันจะไม่จบ ต้องให้นายมาเคลียร์ด้วยตัวเอง เมื่อ รมว. มาถึง ก็เล่นใหญ่ขึงขังเสียงดังใส่หน้าเจ้าหน้าที่อุทยานฯ พอกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 นายกรัฐมนตรีได้เรียก รมว.เกษตรฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าหารือว่าจะแก้ปัญหากันยังไง สุดท้าย รมว.เกษตรฯ พยายามทำให้สังคมเข้าใจว่าปัญหาที่เขาใหญ่เกิดขึ้นเพราะ ส.ป.ก. กับกรมอุทยาน ถือแผนที่คนละฉบับ แนวเขตที่ดินของ 2 หน่วยงานทับซ้อนกันเท่านั้น เลยมอบหมายให้กรมแผนที่ทหาร มาดำเนินการตรวจสอบแนวเขตทับซ้อน 

เรื่องดูเหมือนจะจบลงได้ด้วยดี ทุกคนแฮปปี้ แต่จริง ๆ นี่เป็นการแก้ปัญหาที่ “มั่ว” ขึ้นมา จงใจโกหกให้สังคมเชื่อ เพื่อปกปิดปัญหาที่แท้จริง เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะให้กรมแผนที่ทหารเข้ามาตรวจสอบเลย เพราะทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้มาแต่แรกอยู่แล้ว ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นแนวเขตของอุทยานเขาใหญ่ โดยเดิมทีมีโครงการที่เรียกว่า one map ที่คอยแก้ไขเรื่องเขตที่ดินทับซ้อนระหว่างทุกหน่วยงาน และในการประชุมอนุกรรมการ one map ครั้งที่ 2/2565 ในวันที่ 16 ธันวาคม 2565 คณะอนุกรรมการได้รับรองแนวเขตของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตามแนวเส้นของกรมอุทยานฯ ไปแล้ว เพียงแต่ยังรอเสนอให้ ครม. อนุมัติ เนื่องจากมีกรณีประชาชนร้องเรียนในจุดอื่น 

แต่แนวเขตเขาใหญ่นั้นได้ผ่านการรับรองของอนุกรรมการฯ ไปแล้ว ในคณะอนุกรรมการ One map มีตัวแทนของทั้งกรมอุทยาน กรมแผนที่ทหาร และ ส.ป.ก. นั่งอยู่ด้วย ถ้า ส.ป.ก. ไม่เห็นด้วย แล้วทำไมไม่ค้านตั้งแต่ในอนุกรรมการฯ หมายความว่า ทุกหน่วยงานเขายอมรับแนวเขตกันไปเรียบร้อยแล้ว และรู้กันมาเป็นปี

“ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมท่านธรรมนัสถึงพยายามดึงกรมแผนที่ทหารเข้ามาช่วย ตอนหลังก็หายสงสัยเมื่อพบว่าที่แท้เจ้ากรมแผนที่ทหารปัจจุบันเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารของท่านรัฐมนตรีนี่เอง  เลยขอให้เพื่อนมาช่วย แต่ที่น่าสังเวชที่สุด คือท่านนายกรัฐมนตรี เป็นถึงประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ แต่ท่านไม่รู้อะไรเลย โดนรัฐมนตรีและหน่วยงานราชการหลอกต้ม” อภิชาติกล่าว

อภิชาติกล่าวว่า เรื่องโกหกที่สอง รมว.เกษตรฯ ยังพยายามปัดความรับผิดชอบว่าไม่เคยทราบเรื่องการออก ส.ป.ก. ที่มีปัญหามาก่อน มาตอบกระทู้ของอภิชาติในสภาฯ ว่า ท่านเพิ่งมารับตำแหน่งและไม่มีเจ้าหน้าที่แจ้งปัญหามาก่อนเลย แต่ตนขอยืนยันว่าไม่จริง เพราะหลังจากที่ธรรมนัสเข้ามาดำรงตำแหน่ง ได้มีหนังสือแจ้งว่า ส.ป.ก. บุกรุกเขตอุทยานที่เขาใหญ่ไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 66 ทั้งหนังสือจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และแจ้งไปถึงเลขาสำนักงาน ส.ป.ก. เลย ดังนั้นท่านธรรมนัสซึ่งกำกับดูแล ส.ป.ก. ต้องรู้ ก่อนลงพื้นที่เล่นใหญ่ไปชนกับอุทยานด้วยตัวเองขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่ได้รับรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้าราชการก่อน 

และเรื่องโกหกที่สำคัญที่สุด คือ ท่านรัฐมนตรีพูดเสียงแข็งว่าเรื่องที่เขาใหญ่เป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ แถมขู่จะลงโทษ ‘คนจัญไร-ข้าราชการชั่ว’ เล่นใหญ่ว่าจะยึดรีสอร์ตนายทุนกลับคืนแผ่นดินให้หมด นี่คือการโบ้ยปัญหาออกจากตัว เพราะการทุจริตของเจ้าหน้าที่เป็นเพียงแค่ “ปลายเหตุ” แต่ “ต้นเหตุ” เกิดจากธรรมนัสนี่แหละ ที่เป็นผู้ใช้อำนาจเพื่อเอื้อให้เกิดการทุจริต ส.ป.ก. อย่างเป็นระบบ

อภิชาติกล่าวว่า เพื่อจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด ต้องเริ่มต้นจาก “พะเยาโมเดล” หรือที่ท่านรัฐมนตรีเรียกเองว่า “ธรรมนัสโมเดล” ก่อนหน้านี้ แถวหน้า ม.พะเยา มีคนไปสร้างหอพักในพื้นที่ ส.ป.ก. ซึ่งมีปัญหามาเป็นสิบปี สุดท้ายธรรมนัสโมเดลก็ไปทำให้สามารถเช่าที่ดิน ส.ป.ก. ทำหอพักได้โดยไม่มีความผิด 
ตนยืนยันไม่ได้คัดค้านการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของพื้นที่ ซึ่งถ้าพื้นที่เกษตรเดิมมันกลายเป็นเมืองไปแล้ว เราก็ไม่ควรจะจำกัดการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. แค่การเกษตรเดิมๆ อีกต่อไป แต่เราก็ต้องไปแก้กฎหมาย ส.ป.ก. ก่อน เพื่อทำให้เปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน

แต่สิ่งที่ธรรมนัสมุบมิบทำในปี 2563 ซึ่งขณะนั้นเป็น รมช.เกษตรฯ คือไปออกประกาศเพื่อ “ฟอกขาว” ให้กับการใช้พื้นที่ ส.ป.ก. ผิดกฎหมายเอาดื้อๆ โดยเรียกมันว่า “พะเยาโมเดล” ประกาศที่ว่าก็คือ “ประกาศคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรรม เรื่อง รายการกิจการอื่นที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ฉบับที่ 3)  พ.ศ. 2563” พูดง่ายๆ ประกาศฉบับนี้เป็นการกำหนดว่ามี “กิจการอื่น” ประเภทไหนบ้างที่อนุญาตให้ทำได้ในที่ดิน ส.ป.ก. 

ปัญหาคือ “กิจการอื่น” ที่ธรรมนัสไปประกาศว่าต่อไปนี้อนุญาตให้ทำได้แล้วในที่ดิน ส.ป.ก. นั้น น่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย ส.ป.ก. เพราะไปเปิดทางให้สามารถสร้าง “ที่พัก หอพัก” ในที่ดิน ส.ป.ก. ได้ โดยจากข้อ 12 ในประกาศฯ ที่พักหรือหอพัก ขัดกับ พ.ร.บ. ส.ป.ก. มาตรา 30 วรรคห้า ข้อ 1.5 ที่กำหนดว่าการใช้ ส.ป.ก. ในกิจการอื่นๆ ต้องสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของเกษตรกรในด้านเศรษฐกิจและสังคมในเขตปฎิรูปที่ดินเท่านั้นและถ้าสมมติมีที่ดิน ส.ป.ก. อยู่ แล้วเห็นประกาศฉบับนี้ คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเปิดหอพักให้คนเช่า เจ้าหน้าที่ก็คงไม่กล้าอนุญาตให้ทำ ถ้าไม่ใช่พื้นที่ของธรรมนัส เพราะหากชาวบ้านไปลงทุนทำหอพักขึ้นมาจริงๆ แล้วเกิดความเสียหาย ใครจะรับผิดชอบ

“ความเสี่ยงขนาดนี้ คนที่กล้าเสี่ยงคงจะมีแต่คนที่วางแผนจะรวบรวมที่ดิน ส.ป.ก. ในทำเลสวยๆ ริมป่า ริมเขา ซื้อกันมาในราคาถูกๆ มีอำนาจการเมืองใหญ่หนุนหลัง เท่านั้น” อภิชาติกล่าว

อภิชาติกล่าวว่า ถ้าเราเปลี่ยนจากพื้นที่พะเยา มาเป็นที่ดินในอุทยานเขาใหญ่ ด้วยระเบียบเดียวกัน จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นแค่ไหน แต่ที่ดินทำเลสวยๆ ติดป่าติดเขา จะไปออก ส.ป.ก. ไม่ได้ง่าย หน่วยงานอื่น ๆ ต้องตรวจสอบแน่นอน จึงต้องหาวิธีกีดกันไม่ให้หน่วยงานอื่นรับรู้และเข้ามาตรวจสอบได้ง่าย ต่อมาธรรมนัสจึงใช้อำนาจแก้ไขระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2564 ให้การออก ส.ป.ก. ถูกถ่วงดุลตรวจสอบน้อยลง

เดิมการคัดเลือกจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. จะต้องผ่านกลไกที่เรียกว่า “คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด” ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีหลายหน่วยงานที่ทำหน้าที่ถ่วงดุลและตรวจสอบในเบื้องต้น เช่นป่าไม้จังหวัด ที่ดินจังหวัด และมีผู้ว่าราชการจังหวัด นั่งเป็นประธาน แต่รัฐมนตรี ไปแก้ระเบียบใหม่ว่าการออก ส.ป.ก. ให้เป็นหน้าที่ของเลขา ส.ป.ก. โดยเลขา ส.ป.ก มอบอำนาจให้  ส.ป.ก.จังหวัด พิจารณาจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ได้เองเลย โดยไม่ต้องผ่านคณะกรรมการปฎิรูปที่ดินจังหวัด เรียกได้ว่าธรรมนัสทำให้ ส.ป.ก.จังหวัด รับจบได้ในที่เดียว ชงเองกินเอง ไม่ต้องถามใคร ไม่มีใครมาตรวจสอบ

“สรุป ปี 2563 เปิดช่องให้ทำที่พักได้ และ ระเบียบปี 2564 ยิ่งส่งผลให้กระบวนการออกที่ ส.ป.ก. ง่ายดายยิ่งขึ้น เหมือนออกได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครรู้ใครเห็น นี่เป็นที่มาที่ไปว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์อย่างที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่”

จากทั้งหมดที่ว่ามา นี่คือการทุจริตเชิงนโยบายครั้งใหญ่ ด้วยการดำเนินการแก้ไขหรือออกประกาศและระเบียบอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ แล้วอาศัยอิทธิพลบารมีทำให้ออก ส.ป.ก. โดยมิชอบได้  ทั้งหมดเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนหรือเครือข่ายพวกพ้อง โดยอาศัยนโยบายเพื่อพี่น้องประชาชนบังหน้า  กระทำการในลักษณะลับลวงพราง เปลี่ยน ส.ป.ก. ให้กลายเป็นโบรกเกอร์หรือนายหน้าค้าที่ดินของรัฐ ท้ายที่สุด  ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว จะตกอยู่กับโอกาสในชีวิตของประชาชน ที่จะหมดโอกาสเข้าถึงที่ดินเพื่อเป็นฐานการผลิตและสร้างชีวิต เพราะที่ดินเหล่านั้นจะกลายไปเป็นความมั่งคั่งของคนกลุ่มน้อย ตอกย้ำซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำในที่ดินไทยอย่างยั่งยืน” อภิชาติกล่าว

TAGS: #อภิชาติ #ส.ป.ก. #เขาใหญ่ #ที่ดิน #ธรรมนัส