ฝนโปรย ครม.ย้ายถ่ายภาพหมู่ในตึกสันติไมตรีแทน “เศรษฐา” เตรียมแบ่งงานรองนายกฯ-รมต.วันนี้ กาง KPI ใหม่ ไม่ยึดกรอบ 6-7 เดือนปรับ ครม. เน้นเนื้องานเป็นหลัก น้อมรับหลังผลโพลให้คะแนนรัฐบาลน้อย
บรรยากาศการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา 1/1 ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถือเป็นนัดแรกภายหลังมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีความคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า สำหรับรัฐมนตรีที่เดินทางมาถึงคนแรกคือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เดินทางมาถึงเมื่อเวลา 07.40 น. ตามมาด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากนั้นรัฐมนตรีใหม่ทยอยกันเดินทางมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าก่อนจะถึงกำหนดถ่ายรูปเดิมในเวลา 09.30 น. ได้เกิดฝนตกลงมา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเปลี่ยนและย้ายสถานที่ถ่ายรูปมาที่ห้องโถงกลางตึกสันติไมตรีแทน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกเช่นกันในการถ่ายรูปรัฐมนตรีใหม่ที่ตึกสันติไมตรีก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่
ในเวลา 08.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มาตรวจดูความเรียบร้อย เผยว่า ในการประชุม ครม.วันเดียวกันจะมีการแบ่งงานรองนายกฯ และรัฐมนตรีใหม่ รวมถึงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเพิ่มเติมได้มีการแบ่งงานภายในกระทรวงด้วย โดยจะแบ่งตามความเหมาะสม ความสามารถ และจะเน้นย้ำไปยังรัฐมนตรีเดิมว่าใครที่มีงานค้างเกี่ยวกับงานดูแลประชาชนก็ต้องดำเนินการต่อ
เมื่อถามย้ำว่า จะเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี ตนเน้นย้ำทุกเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา เมื่อถามว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ จะทำให้การทำงานขับเคลื่อนไปได้ดีหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบกลับมาว่า นั่นคือจุดหมายหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่าอันเก่าขับเคลื่อนไม่ได้ ตนเคยเรียนไว้ว่าช่วงเวลา 8-9 เดือนที่ผ่านมามีความต้องการในภาคส่วนต่างๆ ที่ต่างกัน อย่างในรัฐสภามีการเสริมแกร่งให้ฝ่ายนิติบัญญัติ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นธรรมดา
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นใน ครม.ชุดใหม่นี้อย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ความเชื่อมั่นมากับผลงาน การพูดถือเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความคาดหวัง แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลงาน จึงอยากขอความยุติธรรมด้วยว่ามีหลายนโยบายที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป เช่น เรื่องการลงทุน เรื่องปากท้องประชาชน เรื่องสิทธิเสรีภาพ การเลือกเพศสภาพ เหล่านี้ที่เราได้เริ่มต้นทำไปแล้ว
เมื่อถามว่า จะมีการกำหนด KPI รัฐมนตรีใหม่หรือไม่ ว่าต้องเห็นผลงานภายในกี่เดือน นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องมีการพูดคุยกันว่าบางเรื่องต้องเสร็จเมื่อไหร่ และบางเรื่องเราพูดถึงสิ่งที่อยากเห็นได้ แต่พอถึงเวลาก็มีตัวแปรอื่นที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่ง KPI เหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ เมื่อถามย้ำว่า มาตรฐานเดิมยังวางไว้ที่ 6-7 เดือนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เกี่ยว มันแล้วแต่ความ ถ้าความบางอย่างต้องจบใน 2 สัปดาห์ ก็ต้องจบใน 2 สัปดาห์ บางเรื่อง 2-3 ปีก็มี มันมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่ เพราะแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาต่างกัน เช่น การลงทุนที่ต้องประสานงานกับทุกฝ่าย ต้องเห็นใจฝ่ายที่มาลงทุนด้วย หากเขาต้องใช้เวลานานก็ต้องนาน เนื่องจากการลงทุนเป็นแสนล้าน เราต้องให้ความเป็นธรรมกับคณะทำงานด้วย ตนมั่นใจ ครม.ชุดใหม่ให้ความสำคัญกับปัญหาประชาชน เมื่อถามว่า 6-7 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลมีจุดอ่อนและต้องเติมเต็มตรงไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหามันเยอะเหลือเกิน สะสมมาเยอะ ทุกๆ ด้าน เศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน ยังมีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก
เมื่อถามถึงกรณีมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อผลงานรัฐบาลในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ยังให้คะแนนเพียง 6-7 คะแนน เมื่อปรับ ครม.แล้ว จะขับเคลื่อนการทำงานให้ได้รับคะแนนความนิยมมากกว่านี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องการให้คะแนนถือเป็นเสียงสะท้อนอย่างหนึ่ง การมาอยู่ตรงนี้เป็นหน้าที่ที่จะต้องฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน จะได้กี่ 6 7 5 4 หรือ 9 คะแนน ก็ยังไม่เต็มสิบอยู่ดี ดังนั้น การพยายามทำงานต่อไปถือเป็นเรื่องสำคัญ และต้องมานั่งดูว่าส่วนไหนที่ยังทำไม่ได้ดี ตรงไหนที่ทำมาแล้ว แต่ระบบยังไม่สามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายได้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคณะทำงานด้วยเหมือนกัน แต่ถือว่าเข้าใจได้
เมื่อถามว่า ระบบราชการในปัจจุบัน มีการปรับเปลี่ยนและสอดรับกับการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่มีปัญหา ข้าราชการเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนนโยบาย และได้พูดคุยโดยเอาเนื้องานเป็นหลัก เชื่อว่าทุกกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนในการผลักดันนโยบายรัฐบาลอยู่แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าปัญหาที่มีมันใหญ่เหลือเกิน เพราะเมื่อปัญหามันใหญ่มากๆ ต้องใช้ทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อน