“พิธา” แถลงคืบหน้าสู้คดียุบพรรค มั่นใจเป็นไปได้สูงยกคำร้อง

“พิธา” แถลงคืบหน้าสู้คดียุบพรรค มั่นใจเป็นไปได้สูงยกคำร้อง
“พิธา” แถลงคืบหน้าสู้คดียุบพรรค ส่งคำตอบให้ศาลรธน.แล้ว 2 ประเด็น มั่นใจเป็นไปได้สูงยกคำร้อง

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวความคืบหน้าคดียุบพรรคก้าวไกล โดยย้ำถึง 9 ข้อต่อสู้ที่เคยแถลงเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. พร้อมไล่ไทม์ไลน์การต่อสู้คดีของพรรคก้าวไกล ก่อนจะกล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้พรรคก้าวไกลทำบันทึกถ้อยคำภายใน 7 วัน เพื่อตอบคำถาม 2 คำถามสำคัญ เพื่อใช้ในวันที่ 3 ก.ค.ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดพิจารณา และวันที่ 9 ก.ค.ที่นัดให้คู่กรณีตรวจหลักฐาน 

สำหรับ 2 คำถามที่ศาลรัฐธรรมนูญให้พรรคก้าวไกลตอบนั้น มีดังนี้ 1.พรรคก้าวไกลได้โต้แย้งต่อกกต.ในประเด็นที่พรรคไม่มีโอกาสชี้แจงในชั้นการพิจารณาของ กกต.หรือไม่ 2.การกระทำตามข้อเท็จจริงตามคดี 3/67 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ส่งคำตอบกลับไปเรียบร้อยแล้ว 

โดยคำถามแรก นายพิธา เปิดเผยว่า พรรคก้าวไกลได้ตอบคำถามว่า เราไม่มีโอกาสชี้แจงหรือโต้แย้งใดๆในชั้นการพิจารณาของ กกต. ซึ่งในกรณีที่มีความคล้ายคลึงกับพรรคก้าวไกล ศาลเคยยกคำร้อง เพราะกกต.ไม่ทำตามกระบวนการมาแล้วในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2553 โดยเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยของกกต.เท่านั้น เนื่องจากนายทะเบียนพรรคไม่ได้ทำความเห็น ศาลยังยกคำร้องเลย แต่ของพรรคก้าวไกล กกต.ปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้รับฟังข้อเท็จจริงและการโต้แย้ง ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่มากกว่าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ อีกทั้งตนเชื่อมั่นว่าหากกกต.เปิดประตูให้ตนเข้าไปชี้แจง กกต. มีความเป็นไปได้สูงที่จะยกคำร้องตั้งแต่ชั้นกกต. จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ตนสูญเสียไป ไม่สามารถที่จะมาชดเชยหรือแก้ไขได้ในชั้นศาลแน่นอน 

ส่วนคำถามที่ 2 ที่พรรคก้าวไกลตอบไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายพิธา กล่าวว่า การกระทำตามข้อเท็จจริงตามคดี 3/67 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ การกระทำของพรรคก้าวไกล ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ แต่พรรคก้าวไกลไม่สามารถตอบศาลในชั้นนี้ได้ เพราะข้อกล่าวหาอาจเป็นปฏิปักษ์เป็นคนละข้อกล่าวหากับคดี 3/67 เนื่องจากคดี 3/67 ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างหรือไม่ ส่วนคดีนี้ใช้ข้อหาว่า ล้มล้างและอาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ เพราะฉะนั้นตรงนี้ยังไม่มีการตั้งคำถามขึ้นมาด้วยซ้ำ พรรคก้าวไกลจึงไม่สามารถตอบได้ แต่เราก็ยังยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นปฏิปักษ์ อีกทั้งในเมื่อ กกต.ไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหามาก่อน ดังนั้นเมื่อเป็นประเด็นใหม่ก็จะต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในชั้นกกต.ให้ถูกต้องตามกฏหมายเสียก่อน 

นายพิธา ย้ำว่า ถ้าเราเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่ศาลยกคำร้องจากความผิดพลาดของ กกต. ซึ่งเล็กน้อยกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกล จึงคิดว่ามีโอกาสที่จะมีการยกคำร้อง แล้วต้องเริ่มกระบวนการใหม่ให้ถูกต้องทั้งหมดในชั้น กกต. โดยให้โอกาสตนไปชี้แจง และได้ต่อสู้อย่างยุติธรรม ซึ่งเชื่อว่าจะมีโอกาสยกคำร้องตั้งแต่ชั้น กกต. 

เมื่อถามว่าหากท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้ทำตามข้อกล่าวหา จะฟ้องกลับ กกต.หรือไม่ นายพิธา เห็นว่า ยังคงไกลไปเยอะที่จะคิดเรื่องนั้น ส่วนการประเมินฉากทัศน์ของพรรคนั้น ได้ประเมินหลายฉากทัศน์ แต่หากดูจากการเทียบคดีพรรคประชาธิปัตย์กับของเรา จะเห็นว่ายิ่งต้องเป็นเช่นนั้นที่จะยกคำร้อง 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า มองเรื่องการรับลูกของศาล เป็นการฟอกขาวให้กกต.หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนคงไม่อาจก้าวล่วงศาลรัฐธรรมนูญ หรือในมุม กกต.ได้ เน้นที่ฝั่งตัวเองที่ถูกกระทำ ส่วนมั่นใจหรือไม่ว่ากรณีนี้จะไม่ถูกยุบพรรค ถ้ามีความสม่ำเสมอในการใช้มาตรฐานทำคำร้องก็ดี หรือมาตรฐานการตัดสิน ก็น่าที่จะเปรียบเทียบกับคดีของพรรคประชาธิปัตย์กับคดีพรรคก้าวไกล จึงน่าจะทำให้พวกเรามีความมั่นใจมันยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในคดี 44 สส.ก้าวไกลที่เข้าชื่อแก้ ม.112 ถูกร้องป.ป.ช.ให้สอบจริยธรรม เพราะเรามีเจตนาดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

TAGS: #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ยุบพรรค #ก้าวไกล #กกต #ศาลรัฐธรรมนูญ