ทีมเศรษฐกิจถือเป็นจุดขายชี้เป็นชี้ตายว่า พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ใครจะได้ขึ้นแท่นเป็นรัฐบาลใหม่
การเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ทุกพรรคการเมืองต่างโหมโรงประกาศนโยบายหาเสียง เพื่อผูกมัดใจประชาชนให้เลือกพรรคตัวเองมาเป็นบริหารประเทศและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจถือเป็นตัวชูโรงของทุกพรรค ที่มีการลดแลกแจกแถมกันไม่อั่น
นอกจากนี้ ทีมเศรษฐกิจของแต่ละพรรคการเมืองยังเป็นที่ถูกจับตาไม่กระพริบว่า จะว๊าว เป็นของจริงตัวจริงหรือไม่ ที่จะเข้ามาบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้ประชาชนอยู่ดีกินดีกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ทีมเศรษฐกิจของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ถูกคาดหมายเป็นคู่ชิงแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คือ พรรคเพื่อไทย และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกจับตามองเอ็กซเรย์ มากที่สุด
โดยพรรคเพื่อไทย ที่คิดไวทำไว เปิดตัวทีมเศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้นเดืนนมี.ค. แล้ว โดยมีบิ๊กเนม อย่างนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
และยังมี ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษานายกฯด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศมาร่วมทีมเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันทางพรรคเพื่อไทย ยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ โดยมีนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นประธาน และ นายกิตติรัตน์ ณ ระนองอดีต รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นรองประธาน และยังมีกูรูทางเศรษฐกิจที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย อย่างนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ร่วมคณะกรรมเสริมทัพ ให้กับ นายเศรษฐา ดร.ศุภวุฒิ และ ดร.ปานปรีย์
ซึ่งต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทย มีทีมเศรษฐกิจได้น่าตื่นตาตื่นใจ ได้คนระดับบิ๊กเนมทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ นักคิด รวมอยู่ในทีมอย่างเป็นระบบ
ยังไม่รวมคนแดนไกลที่อยู่เบื้องหลังของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นสมองเพชรด้านเศรษฐกิจให้กับพรรคมาทุกยุคทุกสมัย และสร้างความฮือหาให้กับเศรษฐกิจของไทยได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างล่าสุดนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่ใช้หาเสียงรอบใหม่และได้รับความฮือหาอย่างมาก คือ การขึ้นค่าแรงรายวัน 600 บาท ให้ได้ภายใน 4 ปี ก็มีต้นคิดมาจากคนแดนไกลที่ส่งมาให้คนในพรรคขับเคลื่อนเป็นนโยบายเอกหาเสียงของพรรคในทุกวันนี้
เมื่อมาดูทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชัดเจนว่าจะดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกอีกสมัยนั้น ได้เปิดตัวทีมเศรษฐกิจ โดยมี ม.ล. ชโยทิต กฤดากร นักการเงิน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้แทนการค้าไทย รับผิดชอบการดึงดูดการลงทุนการค้าจากต่างประเทศเข้มาในประเทศ
นอกจากนี้ นายชวิน อรรถกระวีสุนทร นักการเงิน และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี, นายวิท วรรณไกรโรจน์ นักการเงิน, นายวินท์ สุธีรชัย นักธุรกิจรุ่นใหม่
ขณะเดียวกันยังมีรุ่นใหญ่มาเสริมทัพเป็นกุนซือประกอบด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายไตรรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกด้านเศรษฐกิจ
เมื่อเทียบชั้นทีมเศรษฐกิจทั้งสองพรรค ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยได้ความสดมากกว่า ชื่อชั้นคนที่อยู่ในทีมเศรษฐกิจ ก็ดูเหลื่อมเหนือกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่เล็กน้อย
รวมถึงบิ๊กตัวจริงของพรรคที่อยู่เบื้องหลังทีมเศรษฐกิจ ต้องยอมรับเช่นกันว่าคนแดนไกลที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดของนโยบายหาเสียงพรรคเพื่อไทย คิดเร็วทำเร็ว มีหมัดเด็ดมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นบิ๊กตัวจริงของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะที่ผ่านมา นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาจากมันสมอง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่รวมกันมาก่อนแต่ตอนหลังแยกทางกันเป็นการถาวรที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทีมเศรษฐกิจของพรรคการเมือง เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจประชาชนจะเลือกพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลเท่านั้น หัวใจสำคัญน่าจะอยู่ที่นโยบายเศรษฐกิจที่ใกล้ตัว ทำได้จริง ยั่งยืน ไม่เป็นภาระภาษีของประชาชนในอนาคต และรั่วไหลเข้ากลุ่มตัวเองมากกว่าประชาชนและประเทศชาติ
ซึ่งตอนนี้ การเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ เป็นแค่การโหมโรงเลือกตั้งยกแรกทั้งนั้น เวลาหาเสียยังอีกยาว 3 เดือน คาดว่าทั้งสองพรรคยังมีหมัดเด็ดทางเศรษฐกิจที่เก็บซ่อนไว้อีกมาก ที่จะค่อยๆ ทยอยปล่อยออกมาชิงไหวชิงพริบเพื่อให้โดนใจมัดใจประชาชนให้เลือกตัวเองกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง