น้ำผึ้งหยดเดียว ทำการเมืองร้อนฉ่า หลัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ประกาศท้าทาย ขอให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับตนออกจากพรรค ซึ่งจะทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม สามารถย้ายไปสังกัดพรรคอื่นได้ (มีคนตั้งคำถามว่า ทำไม ร.ต.อ.เฉลิมไม่ลาออกเอง ทำไมต้องให้พรรคขับออก
เหตุผล เพราะหาก ร.ต.อ.เฉลิม ลาออกเองจะพ้นสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ทันที เพราะขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และปาร์ตี้ลิส ลำดับถัดไปคือ "ก่อแก้ว พิกุลทอง" แกนนำเสื้อแดง จะเลื่อนขึ้นมาแทน)
และหากพรรคเพื่อไทย มีมติขับ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจริงตามคำท้า พรรคที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะย้ายไปสังกัดต้องไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรครอร่วมรัฐบาลบางพรรค เพราะเป็นมารยาททางการเมือง ซึ่งปกติจะไปสังกัดพรรคฝ่ายค้านแท้ อย่างเช่น พรรคก้าวไกล และพรรคเป็นธรรม หรือไม่ก็ย้ายไปสังกัดพรรคที่ยังไม่มี ส.ส.ในสภา แล้วเข้ามาทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน เพื่อทำหน้าที่ซักฟอกรัฐบาล ซึ่งกำลังจะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะภายในสมัยประชุมนี้
ลำดับเหตุการณ์ที่มาของน้ำผึ้งหยดเดียว เริ่มจากการปรากฏภาพนายวัน อยู่บำรุง ไปนั่งอยู่ที่บ้านบิ๊กแจ๊ส พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ในคืนวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผ่านการไลฟ์สดผ่านทางสื่อต่างๆ จำนวนมาก สร้างความไม่พอใจให้กับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ไปช่วยหาเสียงให้กับนายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานีที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน
หลังจากนั้นนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้แจ้งกับสมาชิกว่า ตอนนี้พรรคมีหลายเรื่องที่จะต้องดำเนินการสะสาง ซึ่งทุกคนเข้าใจได้ว่าหมายถึงกรณีของนายวัน อยู่บำรุง ด้วย ซึ่งตอนนั้นนายวันไม่ได้รับทราบเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่นายสรวงศ์พูด
กระทั่งวันที่ 5 กค.ที่ผ่าน มีผู้หวังดีมาแจ้งเตือนนายวันว่าจะมีการดำเนินการกับนายวัน ในเรื่องดังกล่าว แต่นายวันตรวจสอบแล้วยืนยันว่าไม่มี หลังจากนั้นหนึ่งวันจึงทราบจากสมาชิกพรรคท่านหนึ่งว่า นายวันต้องไปชี้แจงกับเลขาฯและหัวหน้าพรรคต่อกรณีที่ปรากฏภาพดังกล่าว
วันจันทร์ที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา นายวันจึงติดต่อโดยตรงไปที่นายสรวงศ์และแจ้งว่า ”หากผมทำอะไรผิดพลาดไปขอให้ท่านเลขาฯเรียกผมไปชี้แจงได้นะครับ“ ซึ่งนายสรวงศ์ก็ได้ขอให้นายวันมาพบตนเองและหัวหน้าพรรคในช่วงเย็นของวันอังคารที่ 9 ก.ค. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายวันก็เดินทางไปตามนัดหมาย ซึ่งก็ได้พบกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค และนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช คนที่ทุกคนในพรรคเพื่อไทยรู้จักดี ซึ่งในวันนั้นนายวันได้รับแจ้งว่า ทั้งท่านทักษิณและนายกฯปู (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)ไม่พอใจอย่างมาก และต้องขอให้นายวันหยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรี นายวันจึงแจ้งกลับไปว่า ไม่ต้องขอผมลาออกเอง แล้วก็แยกย้ายกัน
ซึ่งภายหลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม ทราบเรื่องก็ต่อสายไปถึงนายสรวงศ์และนายสาโรจน์ ทันที และแจ้งกับทั้งสองคนว่า ช่วยขับผมออกจากพรรคที เพราะวันนั้นตนเองก็ไปกับนายวันและอยู่ที่บ้านบิ๊กแจ๊ส ด้วย เพียงแต่ไม่มีภาพปรากฏในสื่อ
เกมนี้นายทักษิณย่อมอ่านออกอยู่แล้วว่าการกดดันนายวันต้องสร้างความไม่พอใจให้กับ ร.ต.อ.เฉลิมเหมือนสำนวนที่ว่า ตีวัวกระทบคราด และนายทักษิณคงประเมินแล้วว่าจะไม่กระทบรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แต่จากท่าทีที่แข็งกร้าวของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่เดือดขั้นสุดในครั้งนี้ คงต้องรอเวลาพิสูจน์ว่าเจ้าของฉายาดาวสภา “ขุนศึกฝั่งธน“ จะกลับมาเฉิดฉายในเวทีศึกซักฟอกรัฐบาลที่จะมีขึ้นในเร็วนี้ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นายสรวงศ์ ได้เปิดเผยว่า ในการประชุม สส.ของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 9 ก.ค. น.ส.แพทองธาร ได้เชิญนายวัน เข้ามาพูดคุยกัน ซึ่งตนก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยนายวันได้ยอมรับในสิ่งที่ทำลงไป ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยเป็นองค์กรซึ่งองค์กรก็ต้องมีการควบคุมดูแล ตนได้รับคำถามจากสส.ด้วยกันหลายท่านในกรณีดังกล่าว และยอมรับว่าในการพูดคุยหัวหน้าพรรคได้มีการตำหนิติเตียนกันไปแต่ในการลาออกจากการเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนั้นเป็นความประสงค์ของนายวันเองเพื่อจะแสดงสปิริตทางการเมืองหัวหน้าพรรคไม่ได้บีบหรือดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ออก
"ผมอยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่หัวหน้าพรรคต้องตัดสินใจในการปกครองคน ปกครององค์กรมั่นใจว่าท่านวันต้องเข้าใจเหตุผลของหัวหน้าพรรคที่ต้องตำหนิ"
นอกจากนี้นายสรวงศ์ ยังพูดถึงร.ต.อ.เฉลิม ด้วยว่า ท่านก็ไม่ค่อยได้เข้าพรรค ตนก็รับหน้าที่เป็นคนพูดคุย เช่นเดียวกับหัวหน้าพรรคระบุว่ามีโอกาสก็จะไปพูดคุย คงไม่ถึงขั้นที่จะขับออกจากพรรค ซึ่งเจ้าตัวจะต้องทำอะไรร้ายแรงที่ผิดข้อบังคับพรรค ซึ่งนายวันและร.ต.อ.เฉลิมก็เป็นคนละคนกัน
ฟังความสองฝ่ายแล้ว ผู้ที่ติดตามการเมืองคงนึกภาพออกว่า จากนี้ไปการเมืองไทยจะดุเดือดเข้มขึ้นอีกหลายเท่า เพราะล่าสุดดูเหมือนว่าสุขภาพของ ร.ต.อ.เฉลิม ดีขึ้นโดยลำดับและพร้อมกับมาทวงตำแหน่งดาวสภาคืน แต่กลัวอย่างเดียวคือกลัวพรรคเพื่อไทย ไม่ขับ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากพรรค