2 พรรคเล็ก ร้อง กกต. สอบ พรรคประชาชน "ทางเลือกใหม่" ชี้ ไม่ชอบมาพากล พบพิรุธหลายอย่าง มั่นใจยุบ 10 ล้าน % ด้านไทยภักดี ร้องตั้งสาขาไม่ครบ รับเงินบริจาคไม่ถูกต้อง
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายราเชน ตระกูลเวียง หัวหน้าพรรคทางเลือกใหม่ เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบพรรคประชาชน อย่างเร่งด่วน โดยนายราเชนกล่าวว่า จากการเปลี่ยนผ่านพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมาเป็นพรรคประชาชนนั้น มีหลายประเด็นที่ไม่ชอบมาพากล
ทั้งนี้อย่างแรกการใช้ชื่อพรรคประชาชนได้มีการยื่นให้กับทาง กกต.เพื่อขอใช้พรรคหรือไม่ หรือถ้ายื่นแล้ว กกต.ได้อนุญาตแล้วหรือยัง ซึ่งการยื่นขอใช้ชื่อพรรคมีขั้นตอนต้องจัดประชุมใหญ่ของพรรค เปลี่ยนโลโก้พรรค เปลี่ยนกรรมการบริหาร เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนธนาคารของพรรค และต้องแจ้งให้กรรมการบริหารพรรคทราบในที่ประชุม ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของข้อกฎหมายที่จะต้องแจ้งให้ กกต.ทราบ แต่การที่พรรคถูกยุบในวันที่ 7 ส.ค. และมีพรรคประชาชนขึ้นมาในวันที่ 9 ส.ค. มองว่ารวดเร็วไป เหมือนมีการเตรียมการมาแล้ว จึงมีความไม่ชอบมาพากล
นอกจากนี้ พรรคประชาชนเปิดรับบริจาค เงินเข้าสู่บัญชีใคร ถ้าเข้าบัญชีถิ่นกาขาวฯ แต่ตอนประชาสัมพันธ์กับบอกพรรคประชาชนนั้น เท่ากับเป็นการหลอกลวงหรือไม่ หรือผิดเงื่อนไข เรื่องนี้ กกต.ต้องเร่งตรวจสอบ ว่า เข้าข่ายเป็นพรรคเถื่อนหรือไม่
นายราเชน กล่าวว่า ชื่อ พรรคประชาชน ได้มีการมายื่นขออนุญาตกับทาง กกต.หรือไม่ ด้วยมีกรณีพิพาท คำว่าประชาชน เพราะเขาเป็นประชาชนของพระราชาไม่ได้เป็นประชาชนของพรรคประชาชน ดังนั้นต้องตรวจสอบว่าได้มีการนำชื่อนี้มายื่นให้ กกต.หรือไม่ และถ้ามายื่นแล้ว กกต.มีหลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณาให้เปลี่ยนชื่อพรรคนี้ได้ และให้ไปแล้วเกิดความขัดแย้งแตกแยก ก็ไม่สมควรใช้ชื่อประชาชนมาตั้งเป็นพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อก่อนก็มีความพยายามที่จะใช้พรรคพลังประชาชน แล้วก็มีพรรคที่เกิดชื่อ รวมพลังประชาชน ที่มีการยื่นขออนุญาตอยู่แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าจะมีการยุบพรรคประชาชนแน่นอนไหม นายราเชน กล่าวว่า ยุบแน่สิบล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นหมากที่เขาวางไว้แล้วเพื่อให้ถูกยุบ ดังนั้น ประชาชนต้องตั้งสติว่าถ้าเลือกพรรคมาเพื่อที่จะให้ประเทศชาติและประชาชนดีตนเห็นด้วย และยังชอบที่ว่าเค้ามองว่าศัตรูของเขาคือนักการเมืองที่โกง แต่ไม่ใช่การที่ไปแตะมาตรา 112 เรามีชาติศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นต้นกำเนิด สิ่งที่ต้องคิดอยู่ตลอด คือเราต้องรู้คุณกตัญญูแผ่นดิน และตอบแทนประชาชนทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่ประชาชนของพวกเรา
วันเดียวกัน พรรคไทยภักดี นำโดยนายทศพล พรหมเกตุ เลขาธิการพรรคไทยภักดี ยื่นหนังสือต่อ กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบการมีสาขาพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล จากระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองย้อนหลัง โดยนายทศพล กล่าวว่า ขอให้ กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงใน 2 ประเด็น ที่เกี่ยวเนื่องกับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลและพรรคประชาชน ประเด็นที่ 1 จากการตรวจสอบข้อมูลของ กกต. ณ ปัจจุบัน พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมีสาขาพรรคเพียง 3 สาขา คือ ภาคกลาง 2 สาขา และภาคเหนือ 1 สาขา ซึ่งอาจสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 91 (3) ที่บัญญัติว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองเมื่อภายหลังจากที่ดำเนินการครบตามมาตรา 33 (2) มีจำนวนสาขาพรรคการเมืองเหลือไม่ถึงภาคละ 1 สาขา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี
สำหรับประเด็นที่ 2 ได้รับข้อมูลว่าวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา พรรคถิ่นกาขาวชาววิไลได้จัดประชุมใหญ่ โดยมีมติเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน ตราสัญลักษณ์พรรค และเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อีกทั้งเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคเงินให้กับพรรค โดยเป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการรับบริจาคของพรรคการเมืองต้องเป็นไปตามข้อ 42 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2563 ที่ให้อำนาจหัวหน้าพรรคและเหรัญญิก เป็นผู้เปิดบัญชีธนาคารพาณิชย์ โดยมีหลักฐานสำคัญประกอบการเปิดบัญชีคือ หนังสือรับรองรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคจาก กกต. โดยวงเล็บว่าเพื่อการบริจาค ซึ่งการรับรองจาก กกต.มีระยะเวลาในการดำเนินการ ไม่ใช่ว่าประชุมวันนี้แล้วมีหนังสือรับรองไปเลย
ทั้งนี้ยกตัวอย่างพรรคไทยภักดีที่มีการจัดประชุมใหญ่ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันที่ 28 เม.ย. จนถึงวันนี้ เราก็ยังไม่ได้รับหนังสือรับรองจาก กกต.รับรองคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาผ่านมาแล้ว 3 เดือน ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พรรคประชาชนจะได้รับหนังสือรับรองกรรมการบริหารพรรคจาก กกต. เราจึงเรียนถามนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า กกต. ได้ให้การรับรองชื่อพรรค ตราสัญลักษณ์พรรค กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่กับพรรคประชาชนแล้วหรือไม่ เพื่อมีหนังสือประกอบหลักฐานกับธนาคารพาณิชย์แต่ทั้งนี้เป็นไปไม่ได้
"จึงเรียนถามว่าได้ให้การรับรองไปแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ให้การรับรองก็ให้ กกต.ตรวจสอบการรับบริจาคเงินดังกล่าวจากประชาชนว่าเป็นไปตามข้อ 42 หรือไม่ และที่สำคัญอาจจะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาจะเป็นหน้าที่ของ กกต.ในการตรวจสอบ" นายทศพล กล่าว