“ชูศักดิ์” ชี้เพื่อไทยจ่อเข็น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า ยันสาระสำคัญคือการนิรโทษความผิดที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล กล่าวชี้แจงกรณีการนำเสนอกฎหมายและการประชุมสภาฯ ในขั้นตอนการเปิดสภาฯ ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ว่า ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรคงจะพิจารณากฎหมายไปตามระเบียบวาระที่ค้างอยู่ก่อนปิดสมัยประชุมครั้งที่แล้ว ส่วนนี้จะมีกฎหมายที่พรรคเพื่อไทยจะนำเสนอและพิจารณาพร้อมกันไปกับร่างที่ค้างอยู่ในการประชุมสภาฯ คือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการกฎหมายของพรรคพิจารณายกร่างเสร็จสิ้นแล้ว จะนำเข้าที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อให้ความเห็นชอบ และร่วมลงชื่อเสนอสภาฯ ต่อไป
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่พรรคเสนอ คือการนิรโทษกรรมความผิดที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยใช้รูปแบบคณะกรรมการมาพิจารณา และมีบัญชีแนบท้ายว่าความผิดอันใดบ้างที่จะได้รับนิรโทษกรรม นอกจากนั้นผู้แทนราษฎรคงจะต้องพิจารณาร่างแก้ไขกฎหมายประชามติ ที่จะยืนยันร่างเดิมหรือร่างที่กรรมาธิการร่วมพิจารณา ในส่วนของพรรคเพื่อไทยคงต้องไปหารือในวิปรัฐบาล ความเห็นส่วนตัวเห็นว่าเราพิจารณากันในชั้นสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการลงมติเสียงข้างมากชั้นเดียวเป็นเอกฉันท์ พรรคคงต้องยืนตามนี้อันจะนำไปสู่การต้องยับยั้งร่างไว้เป็นเวลา 180 วัน
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องของการประชุมรัฐสภานั้น น่าจะพิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลัก สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีหลายร่างมาก สะสมมาตั้งแต่สภาตอนแรกๆ อันนี้คงต้องให้วิปสามฝ่ายหารือร่วมกันว่าจะเอาร่างใดบ้าง โดยส่วนตัวมองว่าหากเห็นว่าจะใช้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ตามขั้นตอนนี้ ก็อยู่ในกระบวนการที่แต่ละฝ่ายกำลังดำเนินการกันอยู่ และเกี่ยวโยงไปถึงกฎหมายประชามติ จึงคิดว่าควรพุ่งเป้าไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. เพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะดีกว่าหรือไม่
“โดยประธานสภาและวิปควรหารือแนวทางที่จะให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าวว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง หากจะพิจารณากันไปทีละร่างในตอนนี้ ก็ต้องคิดคำนึงว่ารัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ที่สำคัญคือ สว.เห็นอย่างไร เพราะการพิจารณายังอยู่ในหลักทั่วไป เช่น ในวาระที่หนึ่งต้องมี สว.เห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม จะต้องได้เสียงจากรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง จึงต้องหารือกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเวลาเปล่า” นายชูศักดิ์ กล่าว