"เท้ง" ซัดแรง "แพทองธาร" ทำตัวเหมือนนายกฯ รัฐประหาร เป็นนั่งร้านให้กลุ่มอำนาจเดิม ตั้งรัฐบาลเพื่อดีลแลกประเทศ ปล่อยผู้นำ นอกระบบ ชี้นำวาระ เอาแต่ประโยชน์ตระกูลชินวัตรเป็นแกนกลาง เอื้อกลุ่มทุน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานในที่ประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่ง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กับคณะ รวม 165 คนได้ยื่นเสนอ
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า ตั้งแต่เดือน พ.ค.66 ประชาชน 40 ล้านคนเดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวัง และเชื่อมั่นศรัทธาว่ารัฐสภาจะช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขาได้ เพื่อหยุดทศวรรษแห่งความสูญเปล่า ยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยของพวกเราทุกคน ยืนยันว่าพอกันได้แล้วกับ 9 ปีที่สูญเสียไปที่พวกเราถูกลิดรอนสิทธิพลเมืองถูกขโมยโอกาส ไม่ให้ลืมตาอ้าปาก
แต่หากใครนอนหลับไปตั้งแต่เดือน พ.ค.66 ตื่นขึ้นมาในวันนี้ หลายคนที่นอนหลับไปคงจะแปลกใจทำไมทุกอย่างเหมือนเดิม ทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงได้แนบแน่นแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว กลมกลืนไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร การบริหารราชการแผ่นดินถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของพวกพ้อง การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสะเปะสะปะไม่เป็นท่า ปล่อยปละละเลยชีวิตประชาชนปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ด้วยสองมือสองแขนสองขา
เริ่มตั้งแต่ปัญหาไฟป่าไปจนถึง PM 2.5 ทุนเทาไปจนถึงชายแดนคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษา และการขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ค่าไฟแพง รวมถึงปัญหาด้านการเกษตร ปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอรัปชั่น ทุกวันนี้พวกเรายังต้องเจอปัญหาแบบเดิมอยู่ ทำไมคนไทยถึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่แก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา ทำไมคนไทยถึงยังไม่มีโอกาสที่จะมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการหาทางออกให้กับประเทศ ทั้งที่การเลือกตั้งในปี 2566 ประชาชนคนส่วนใหญ่ลงมติแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง เพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มต้นดำรงอยู่และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิดดีลแลกประเทศ เพื่อประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตร เป็นแกนกลาง และผลประโยชน์ของกลุ่มทนใกล้ชิดเป็นแกนรองส่วนประเทศและประชาชนต้องรอไปก่อน เป็นพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาจากสมัยที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวเตือนให้ระมัดระวังว่านายเศรษฐา ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม หากบอกว่าเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีก็ไม่ว่าอะไร นายณัฐพงษ์ จึงกล่าวต่อว่าหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในสมัยของนางสาวแพทองธาร ยอมเป็นนั่งร้านให้กับกลุ่มอำนาจเดิม เพื่อให้คนในตระกูลชินวัตร ให้บุคคลในครอบครัว ให้กลุ่มอำนาจรัฐบาล ให้บริวารเป็นรัฐมนตรี เวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่สงสัยไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใครเพราะพวกเขาหลอมรวมกลายเป็นพวกเดียวกันทั้งหมด
“พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงกันได้ ไม่เกี่ยวกับเจเนอเรชั่นหรือภูมิหลัง เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองกันผ่านสนามกอล์ฟ ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นเป็นขาว รู้ช่องทางการทำมาหากินผ่านระบบราชการเหมือนกัน พูดอีกอย่างนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมพูดภาษาเดียวกัน และเล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก”
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่าสังเกตได้ไม่ยากเรื่องไหนเดินหน้าได้เร็วกว่าปกติ ไม่สนคำทักท้วง เป็นเรื่องที่ดีลผลประโยชน์ เช่น เอนเตอร์เทนเมนคอมเพล็กซ์ ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนเหนือการแก้ไขปัญหาชาวนา และการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน จากวันที่ 20 มี.ค.68 ที่สื่อมวลชนตั้งคำถามว่ารู้สึกอย่างไรกับดีลแลกประเทศ นายกฯ ถามกลับว่าตระกูลชินวัตรได้อะไร สื่อมวลชนบอกว่าก็ได้คุณทักษิณกลับบ้าน นายกฯ จึงถามกลับว่า “ได้คุณพ่อกลับมา อ๋อ คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป” อย่างน้อยนายกฯ ยอมรับตรงโดยนัย ไม่ปฏิเสธ ดีลจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เพื่อพาคุณพ่อกลับบ้าน เพราะหากไม่เกี่ยว สัญชาตญาณแรกของคนตอบคำถามจะต้องปฏิเสธทันที แต่นี่ไม่ปฏิเสธ
ดีลแลกประเทศ ยังหมายถึงเรื่องอื่น ดูเหมือนว่าประเทศจะได้อะไรที่ดีขึ้นมากกว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เวลาผ่านไป 2 ปีเป็นที่ประจักษ์ว่าสิ่งที่เหมือนจะได้กลับเสียมากกว่าเดิม การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ด้านการเมืองดูเหมือนว่าประเทศไทยหวนกลับสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ ออกจากยุครัฐบาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่เมื่อดูในรายละเอียดรัฐบาลเพื่อไทยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอย ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยตกลง ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยบกพร่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า ถูกนานาอารยะประเทศรุมประณามจากการส่งอุยกูร์กับประเทศจีน ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่ แต่ท่านกำลังทำให้ประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอย ภายใต้เปลือกคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ด้านเศรษฐกิจ ดูเหมือนว่าเรากำลังได้รัฐบาลที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ หลายคนยอมปิดตาข้างหนึ่ง หวังให้รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง แต่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้อีกแล้วพายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้นเพราะไม่ได้ทำการบ้านมาล่วงหน้า จากที่เคยคุยไว้ว่าจะได้ GDP 5% เหลือ 2.5% หรือครึ่งเดียวของคำโฆษณา ทิ้งไว้เพียงแค่สิ่งที่สังคมไทยต้องจ่ายในราคาสูง
ปัญหาของพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมาคือ ไม่ยอมรับว่าสมัยพรรคไทยรักไทยในอดีต ได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ไม่ได้เก่งด้วยตนเอง ในปี 2540 พรรคเพื่อไทยได้รับอานิสงส์จากนโยบายที่กองไว้บนโต๊ะ เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นกับโครงการมิยาซาว่า เงินบาทที่อ่อนตัวลงช่วยให้การส่งออกของประเทศเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่น่าเสียดายเมื่อมาเป็นรัฐบาลเพื่อไทยนโยบายที่เคยกองอยู่บนโต๊ะตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะต้องคิดเองทำเอง คิดไปทำไป ผลเลยออกมาเป็นแบบที่เป็นอยู่
การบริหารประเทศ การที่ได้นายทักษิณกลับมาอีกครั้ง เหมือนจะได้ผู้นำแพ็คคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ เดินสายทำงานนอกทำเนียบ โชว์วิสัยทัศน์ใหม่แทบทุกเวที ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ทำงานในทำเนียบ พร้อมผสานการทำงานกับคนรุ่นเก่า ในความเป็นจริงเรากำลังมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบ เป็นคนชี้นำวาระให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดรับผิดชอบ เพราะไม่ต้องถูกถ่วงดุลตรวจสอบ
ขณะเดียวกันวันหนึ่งบอกจะให้ค่าไฟ 3.50 บาท แต่ผ่านมาสองเดือนบอกว่าจะลดค่าไฟเหลือ 2.50 บาทราคาค่าไฟลดเร็วพอ ๆ กับความน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลายเป็นคนนอกระบบพูดไปเรื่อย ไม่ต้องรับผิดรับชอบ ส่วนคนที่อยู่ในระบบแทนที่จะเป็นพลังของคนลุกรุ่นใหม่ แต่ขาดความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ ขาดเจตจำนงทางการเมือง ขาดความรู้ความสามารถ
การตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องเงินบาทแข็งจะช่วยส่งการส่งออก ถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างน่าตกใจของนายกฯ สะท้อนว่าขาดวุฒิภาวะ นายกฯ ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นนี้ว่า “เมอร์รี่คริสต์มาส” ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาเคยเห็นอะไรที่นายกฯ ตัวจริงผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้บ้าง ตั้งแต่ฝุ่น PM 2.5 ไปจนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหลือแต่การลอยตัวนี้หนีปัญหา ไม่สนไม่แคร์กับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เมื่อรวมผู้นำนอกระบบกับผู้นำในระบบประเทศไทยเสียสองต่อ เพราะมีแต่คนที่กำหนดวาระลอยตัว ไม่ต้องรับผิดชอบกับคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ
”อยากให้นายกฯ ตระหนักรู้ไว้เสมอว่าการกระทำของทุกคนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ท่านจะทำตัวแบบเดียวกับนายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาฯ เป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาฯ เปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมือง สส.ในสภาฯ เป็นเพียงจำนวนนับให้จัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้“
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่าตราบใดที่นางสาวแพทองธาร ดำรงตำแหน่งอยู่ ประเทศต้องแลกมากับค่าไฟ มีชาวสวนในจังหวัดลำพูนและพิจิตรที่ต้องสูบน้ำเข้าสวนด้วยค่าไฟที่แสนแพง ไม่นับอีก 21 ล้านครัวเรือนที่รอฟังการแก้ปัญหา แต่กลับเห็นภาพของนายกฯ ตัวจริงไปตีกอล์ฟกับกลุ่มทุนเพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้าหลายแสนล้านบาท สูบเงินคนไทยไปให้เจ้าสัว
นอกจากนี้ยังมีประชาชนในจังหวัดอุตรดิตถ์และสุราษฎร์ธานี มีปัญหาเรื่องป่าทับที่และปัญหาสัมปทาน แต่รัฐบาลกลับดีลระหว่างสองพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของที่ดินหลายพันล้านบาท ขณะที่การปฏิรูปกองทัพประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ในการปฏิรูปกองทัพ เพราะผลงานที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม หวังให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน พ.ร.บ.ป.ป.ช. ให้ทหารที่ทุจริตขึ้นศาลยุติธรรมไม่ต่างจากข้าราชการอื่น ๆ ซึ่งถูกโหวตคว่ำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่ง สส.ระบุว่ารัฐสภาตั้งอยู่บนถนนทหารจึงต้องเกรงใจทหาร ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยหลอมรวมเป็นพวกเดียวกัน อีกทั้งยังประชาชนหมดหวังกับการยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร
สำหรับกระบวนการยุติธรรม พี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายครอบครัวยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีตากใบ แต่นายกฯ จงใจปล่อยปละละเลยไม่เร่งรัดติดตามจำเลยที่หนีไปต่างประเทศกลับมาดำเนินคดี ขณะที่นายกฯ ตัวจริงนอกระบบกลับได้สิทธิอยู่ในชั้น 14 เหนือกฎเกณฑ์ เหนือระบบยุติธรรมในประเทศ ที่มีบุตรสาวรับรู้สถานะของพ่อตนเองมาโดยตลอด ยังมีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่ตนเองเจอมาในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครที่รอฟังคำตอบเรื่องนิรโทษกรรม
ในขณะที่สังคมไทยมีฉันทามติต้องการผลักดันยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่นายกฯ ลอยตัวคุมเสียงรัฐบาลไม่ได้ตอกตะปูปิดฝาโลงว่า คนไทยจะไม่มีวันมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน การเถียงกันในสภาฯ เป็นการปาหี่ว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง เป็นการนำเหตุผลทางกฎหมายมาเป็นข้ออ้างทางการเมือง ประเทศจึงต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ร่างมาโดย คสช. และดำรงไว้ซึ่งรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร
ภายใต้ปัญหาประเทศที่รุมเร้า บริบทโลกที่บีบรัดเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้นทุนการดำรงชีวิตสูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง โอกาสในการประกอบธุรกิจหมดไป ขีดความสามารถของประเทศถดถอย สิ่งที่เราเก่งในวันนี้เป็นสิ่งเดียวที่เราเก่งใน 20 ปีก่อน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายใน เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ลำพังการแจกเงินคงไม่สามารถกู้วิกฤตให้ประเทศได้ เพราะเงินหมื่นที่จ่ายไป พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้สร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย การสร้างเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ มองเห็นชัดว่าจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงไม่กี่กลุ่มคือ กลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่คนไทยต้องสูญเสียไปจากการที่มีรัฐบาลคิดไปทำไปหาทางซื้อคะแนนเสียงไปวัน ๆ
ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า ดีลแลกประเทศมีเพียงคนไม่ถึง 1% ที่ได้รับผลประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปจนถึงการยอมให้ประเทศไทยถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลังทิ้งซากปรักหักพังไว้ให้คนอีก 99% ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทุกมิติ ปัญหาสำคัญยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งประสิทธิภาพความโปร่งใส ความเป็นประชาธิปไตยดัชนีตกลงทุกด้าน ดัชนีชี้วัดทุจริตคอรัปชั่นตกต่ำมากที่สุดใน 12 ปี ยิ่งกว่ายุครัฐบาล คสช.ประชาชนหมดหวังในการทำธุรกิจและประกอบสัมมาอาชีพ ปากท้องของคนไทยแย่ลงทุกระดับ
หากมองไปในอนาคตราคาที่ไทยจะต้องจ่ายสูงมากกว่านี้เป็นทวีคูณ พวกเราจะต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการค้าโลก เราต้องแลกและเสียอะไรไปอีกเท่าไร จากการที่มีนางสาวแพทองธาร เป็นนายกฯ สิ่งที่เราได้รับรัฐบาลนี้ทำให้พวกเราอ่อนแอลง ไม่กล้าฝัน ไม่กล้าหวังกับอนาคตที่ดีกว่า
นายณัฐพงษ์ ทิ้งท้ายว่าภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ดีลแลกประเทศ ไม่มีสองก๊กสามก๊ก แต่มีเพียงก๊กเดียวคือ พรรคร่วมคณะรัฐประหารที่กลายเป็นพวกเดียวกันหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน จึงไม่อาจไว้วางใจให้น.ส.แพทองธาร ให้บริหารประเทศต่อไปได้