"ภูมิใจไทย" ซัด "เศรษฐา" ใช้กฏหมายเอาผิด โทษถึงขั้นยุบพรรค

“ศุภชัย” เผย "ภูมิใจไทย" เดินหน้าใช้กฎหมายจัดการพวกบิดเบือน-กล่าวหาใส่ร้าย โทษสูงสุดถึงขั้นยุบพรรค 

วันที่ 3 พ.ค.2566 นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยในลักษณะที่มีการใส่ร้ายด้วยข้อความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดถึงคะแนนความนิยมของผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ในประเด็นเรื่องกัญชาโดยได้มีการกล่าวหาว่า พรรคภูมิใจไทยปล่อยให้มีกัญชาเสรี และมอมเมาเยาวชน ซึ่งการใส่ร้ายดังกล่าวเป็นความเท็จ และขอยืนยันว่าการปลดล็อกกัญชา เป็นการลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)

“การปลดล็อกนี้คือเดิม กัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ถูกยกเลิกโดยประมวลกฎหมายยาเสพติดปี 2564 ซึ่งมีการลงประกาศพระราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดพ.ศ. 2564 ซึ่งได้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ที่ระบุว่า กัญชาเป็นยาเสพติดก็คือ ในมาตรา 29 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งระบุว่า ยาเสพติดแต่ละประเภทซึ่งมีอยู่ 5 ประเภทนั้น มีอะไรบ้าง และในประเภท 5 ก็ไม่ได้มีการระบุว่า กัญชาเป็นยาเสพติดอีกต่อไป“

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า การลงมติเห็นชอบปลดล็อกกัญชาดังกล่าวสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ได้ลงมติเห็นชอบด้วย และย้ำว่าการออกประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นการออกประกาศตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ หรือปล่อยปละละเลย เมื่อมีการปลดล็อกกัญชามาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2564 แล้ว พรรคเพื่อไทยก็ไม่เคยคัดค้านเลย อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยเห็นว่า ประเทศไทยควรมีกฎหมายออกมาควบคุมกัญชาในเรื่องของการใช้ทางการแพทย์และเศรษฐกิจ จึงเสนอร่างกฎหมายกัญชากัญชง เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านความเห็นชอบ เป็นเพราะส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่น ดึงเกมให้การพิจารณาร่างกฎหมายไม่แล้วเสร็จ  

ดังนั้น การที่นายเศรษฐา ออกมาปราศรัย เป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดใน คะแนนนิยมของผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย อันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 73 ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจูงใจให้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตน หรืองดเว้น หรือการลงคะแนนให้ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใด เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ (5) หลอกลวงบังคับขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง

ซึ่งการที่นายเศรษฐา ได้ออกมาปราศรัยว่าถ้าเลือกพรรคภูมิใจไทยจะได้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ถือเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ เพราะความจริง พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศมาโดยตลอดว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด

นายศุภชัย กล่าวว่า ขณะนี้มีสมาชิกพรรค ซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว ได้ไปดำเนินการทางคดีแล้ว เช่น นายศุภชัย โพธิ์สุ ร้องต่อ กกต.จังหวัด ต่อกรณีที่นายเศรษฐา ปราศรัยว่าหากเลือกนายศุภชัยและพรรคภูมิใจไทย จะนำเสรีกัญชามามอมเมาเยาวชนชาวนครพนม  และยังมีกรณีของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงโจมใส่ร้าย พรรคและสมาชิกพรรคภูมิใจไทย จึงยืนยันพรรคจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องในการถูกใส่ร้าย ดังนั้นวันนี้นายเศรษฐาต้องพร้อมรับในผลสิ่งที่ตนเองได้พูด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มีวุฒิภาวะ ยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่ยอมในเรื่องนี้แน่นอน

นายศุภชัย กล่าวถึงในส่วนการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นข้อกดดันในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้นว่า พรรคไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองอื่น ดังนั้นขอให้นายเศรษฐาทบทวนการกระทำของตนเอง และเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยประกาศยืนยันให้ชัดเจนเลยว่า หากเห็นว่ากัญชามีปัญหา จะดำเนินการทำให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิม พร้อมฝากไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้ดำเนินการตามหน้าที่ ของทีมงานสืบสวนสอบสวน โดยที่ไม่ต้องมีผู้ออกมาร้องเรียน ทั้งเรื่องการปราศรับโจมตี และความพยายามของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ป่วนเวทีปราศรัยของพรรค ซึ่งทางพรรคได้ยื่นให้ตรวจสอบมาหลายครั้งแล้ว เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม 

TAGS: #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #เลือกตั้ง #เลือกตั้ง66