'พิธา' ประกาศชัยชนะ ลั่นพร้อมเป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทย ขอจบปัญหาเก่าในอดีต เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ พาไทยไปสู่อนาคตที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน
วันที่ 15 พ.ค. 2566 หลังจากนับคะแนนเสียงของประชาชนอย่างไม่เป็นทางการใกล้เสร็จสิ้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ประกาศชัยชนะผ่านเพจของตนเอง โดยระบุรายละเอียดดังนี้ วันที่พี่น้องประชาชนที่รัก วันนี้ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัดและพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยเรามีความฝัน ความหวัง แบบเดียวกัน และเราเชื่อเหมือนกันว่า ประเทศไทยที่เรารักจะดีกว่านี้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ถ้าเราเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้... ความฝัน ความหวัง ของพวกเรานั้นค่อนข้าง “เรียบง่าย ตรงไปตรงมา”
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมเดินทางไปรวบรวมความหวัง ความฝัน ของผู้คนทั่วประเทศ และก็เห็นข้อจำกัดของการเมืองไทยที่ผ่านมาแจ่มชัดมากขึ้น วันนี้ ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน เพื่อจบปัญหาเก่าในอดีต เผชิญปัญหาใหม่ในปัจจุบันอย่างมีวุฒิภาวะ แล้วพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อน”
จบปัญหาเก่า ปฏิเสธกันไม่ได้ว่า สิ่งที่ฉุดรั้งสังคมไทยเอาไว้ สำคัญมากๆ คือเราติดหล่มความขัดแย้งทางการเมืองมาไม่ต่ำกว่า 17 ปีแล้ว วันนี้พวกเราก็ยังบอกไม่ได้ว่า ระบบการเมืองแบบไหนที่เรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกันได้ แม้ว่าจะไม่เห็นเหมือนกันทั้งหมด จะจบปัญหานี้ได้ แน่นอนครับว่าเราต้องยุติวงจรรัฐประหาร เริ่มต้นกันที่การปฏิรูปกองทัพอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้บรรลุ 3 เป้าหมาย คือ
1.ทำให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน
2.ทำให้กองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว กองทัพมีขนาดเล็กลง แต่โปร่งใสขึ้น ทันสมัยขึ้น มีสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยมากขึ้น
3.ภารกิจของกองทัพมีเพียงป้องกันภัยความมั่นคงจากภายนอกประเทศ ส่วนปัญหาความมั่นคงภายใน ปล่อยให้เป็นเรื่องของพลเรือน เช่นนี้แล้ว กองทัพก็จะมีศักดิ์ศรี ไม่มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน
แล้วสำหรับคนที่เคยเห็นด้วยกับการรัฐประหารนั้น ผมเข้าใจว่าหลายท่านไม่ไว้วางใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มองเห็นการเมืองในสภาเป็นเรื่องสกปรก เกลียดการคอรัปชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อน ระบบอุปถัมภ์ หรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ ผมอยากจะบอกทุกคนว่า 17 ปีที่ผ่านมา มันได้ให้บทเรียนแก่พวกเราอย่างสาสมแล้วว่า การเมืองดีๆ ที่เราอยากเห็นนั้นไม่มีทางลัด มีแต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงมากขึ้นๆ เท่านั้น ถึงจะแก้ปัญหาที่เราไม่พึงปรารถนาได้ การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้นไม่มีอยู่จริง และนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ที่ฉ้อฉลและตรวจสอบไม่ได้ยิ่งกว่านักการเมืองจากการเลือกตั้ง
ดังนั้น เพื่อจบปัญหาเก่าให้ได้ สิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลจะทำไปพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพ ยุติวงจรรัฐประหาร คือผมจะทำให้สังคมกลับมาศรัทธาในระบบรัฐสภาอีกครั้ง ผมและพรรคก้าวไกลจะยกระดับคุณภาพของนักการเมืองไทย เราจะสร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ระบบป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ที่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่พวกเราต้องการ คือ ‘ระบบการเมืองที่ดี’ ไม่ใช่การเมืองที่ฝากความหวังไว้กับ ‘คนดีย์’
เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ เมื่อจบปัญหาเก่า ผมจะเป็นผู้นำทางการเมืองที่กล้าเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ เพื่อสร้างความปกติใหม่ของสังคมไทยอย่างมีวุฒิภาวะ ผมไม่เคยเชื่อว่าสังคมที่หยุดนิ่งอยู่กับอดีตจะมีอนาคตได้ และผมไม่เคยเชื่อว่าสังคมที่หยุดนิ่งราวถูกแช่แข็งเอาไว้จะมีอยู่จริง ทุกสังคมย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของมัน สังคมไทยก็เช่นเดียวกันครับ เกิดความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ เกิดความปรารถนาแบบใหม่ เกิดพลังทางสังคมใหม่ๆ และเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้น ย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้าย ผมเชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด เป็นจุดลงตัวที่เรายอมรับร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง และจะไปถึงจุดนั้นได้
เราต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ รวมทั้งความคิดทางการเมือง เราต้องบริหารจัดการความเห็นต่างไม่ให้กลายมาเป็นความขัดแย้ง ด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก และทำให้เรามีระบบนิติรัฐ มีระบบกฎหมายที่ดี มีกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของรัฐ ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ
พาสังคมไทยไปสู่อนาคต เมื่อจบปัญหาเก่า จัดการปัญหาใหม่ได้ เราจะสร้างฉันทามติของสังคมไทยใหม่ แล้วพวกเราจะมีสมาธิ มีสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อนำพาประเทศไปสู่อนาคต พิธาและทีมพิธาในรัฐบาลก้าวไกล พร้อมจะวางรากฐานใหม่ที่มั่นคงของสังคมไทยด้วยระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ สร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตด้วย เปิดโอกาสและแบ่งปันความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมด้วย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเครื่องระบบราชการและระบบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ กระจายอำนาจให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด ปฏิวัติระบบการศึกษาให้เท่าทันโลก
เวลาของพวกเรามาถึงแล้ว ผมพร้อมจะนำประสบการณ์และความเข้าใจทั้งต่อโลกเก่าและโลกใหม่ มาบริหารประเทศเพื่อไปสู่อนาคตใหม่ของประเทศไทยที่ไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา ผมพร้อมจะนำประสบการณ์ที่มองเห็นข้อจำกัดของการเมืองแบบเดิม เพื่อทำในสิ่งที่การเมืองในอดีตทำไม่สำเร็จ