"เรืองไกร" จี้ กกต.สอบ "พิธา"ขายหุ้นไอทีวี "ทนายอั๋น-ลุงศักดิ์" ยื่นค้าน

“เรืองไกร” เข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมถึง กกต. ครั้งที่ 7 จี้ “พิธา” แจงให้ชัดขายหุ้นไอทีวีจริงหรือไม่ ด้าน “ทนายอั๋น-ลุงศักดิ์” ยื่นค้านคำร้องเรืองไกร หวัง กกต. พิจารณาโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเกมการ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหลักฐานที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ยังคงติดตามการตรวจสอบของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยวันนี้ถือเป็นการมายื่นหลักฐานเพิ่มเติมครั้งที่ 7 และจากการติดตามมีประเด็นที่ต้องเอามาให้ กกต. เข้าสำนวน คือกรณีที่ไอทีวีเลิกกิจการแล้วหรือไม่ อย่างไร หากย้อนไปปี 2550 ได้มีข้อพิพาทกัน ซึ่งตอนนั้นคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการบอกว่า การบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานกับไอทีวีของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาไอทีวีได้ฟ้องกลับจนอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่าการถูกเลิกสัญญาร่วมงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบว่าสัญญาร่วมงานยังถือว่ามีผลอยู่หรือไม่ 

อีกกรณีที่ตนจะยื่นคำร้องเพิ่มในวันนี้คือที่มีข่าวว่า นายพิธา ขายหุ้นไอทีวีไปแล้ว แต่ไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน ซึ่งตนมั่นใจว่าในวันรับสมัครเลือกตั้ง นายพิธา ยังถือหุ้นสื่ออยู่แน่นอน จึงอยากให้ กกต. สอบถามไปยังบริษัทไอทีวีว่า นายพิธา ยังถือหุ้นไอทีวีหรือไม่ หรือมีการโอนหุ้นด้วยวิธีใด พร้อมเรียกร้องให้ นายพิธา ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเรื่องนี้ และขอให้แสดงหลักฐานโดยไม่ต้องรอให้ กกต.รับรองคำร้องของตน หรือรอให้ กกต.เรียกมาสอบถาม หากเรื่องนี้ถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้วตัดสินว่า นายพิธา ถือหุ้นสื่อจริง จะถูกตัดสิทธิ์การเป็น ส.ส.และถูกตัดสิทธิ์บัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ลุงศักดิ์เสื้อแดง เดินทางมาเข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อคัดค้านคำร้องของ นายเรืองไกร และคำร้องของบุคคลอื่น กรณีที่มีการร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบการถือหุ้นสื่อของ นายพิธา โดย นายภัทรพงศ์ บอกว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 98 (3) และมาตรา 42 (3) เพื่อไม่ให้ผู้สมัคร ส.ส. ที่ถือหุ้นสื่อ ใช้ประโยชน์ในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง และสัดส่วนหุ้นที่นายพิธา ถืออยู่จำนวน 42,000 หุ้น เป็นสัดส่วนที่น้อยและไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการใดๆ ในการให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ทางการเมือง 

พร้อมกันนี้ ตนเองยังตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทไอทีวี ได้หยุดประกอบกิจการไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2550 ตามคำสั่งของ สปน. วันนี้จึงมาร้อง กกต. เพื่อหวังให้ กกต. ตีตกคำร้องของ นายเรืองไกร เช่นเดียวกับการตีตกคำร้องของ นายศรีสุวรรณ ที่ร้องเรียนเรื่องนโยบายเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยไปก่อนหน้านี้ และหวังว่า กกต. จะนำเรื่องนี้มาพิจารณาโดยไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวและไม่มีเกมทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

TAGS: #หุ้นสื่อ #ไอทีวี #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #กกต.