ถ้าเราได้ผู้แทนที่มาจากระบบการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ก็จะได้รัฐบาลที่มาจากผู้แทนที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าเราได้รัฐบาล ที่มาจากผู้แทนโกงซื้อเสียงมา เราก็จะได้รัฐบาลที่มาแบบเดียวกัน
หมายเหตุ*นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และอดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์สำข่าวTHE BETTER เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาของประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมืองรวมถึงแนวโน้วการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นโดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
***************
อดีตนายกฯชวน ระบุว่า ประเทศเราถ้าเปรียบเทียบในภูมิภาค ก็ไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่น อาจจะไม่เหนือกว่าบางประเทศ แต่ภาพรวมแล้วถือว่าได้พัฒนาประเทศมาในระดับหนึ่ง ที่คนไทยทุกคนได้มีส่วนร่วม ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดระยะเวลายาวนาน ถ้าคิดถึงช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ถือว่า90 ปีในฐานะเป็นนักการเมืองแล้ว ผมเห็นเหตุการณ์ด้วยประจักษ์พยานด้วยตัวเองมา 50 กว่าปี
ในช่วงที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในตําแหน่งต่างๆ นั้น ก็ได้พัฒนามาในระดับหนึ่ง ที่มาได้ไกลพอสมควร แต่ราจะอยู่นิ่งอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ มันต้องต่อยอดเรื่อยๆ แล้วต้องยอมรับว่า เมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคหรือทั่วโลก ก็มีบางอย่างที่จะต้องไล่เขา บางอย่างคนอื่นไล่เรา
เมื่อทุกประเทศ มีเวลาได้พัฒนาตัวเอง ตอนนี้การแข่งขันเพื่อเป็นผู้นําในการพัฒนาก็เกิดขึ้นรุนแรงขึ้น ก็ต้องมาพิจารณาตัวเราว่า มีโอกาสพัฒนามาก่อนคนอื่น ก็ควรจะทบทวนว่าอะไรที่เป็นจุดอ่อน จุดแข็ง ต้องรักษาจุดแข็งของเราไว้ เพราะเรามีอะไรที่มากกว่าคนอื่นในบางเรื่อง จุดด้อยที่ด้อยกว่า ก็ต้องไล่ให้ทันหรือแซงเขาให้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามาดูเรื่องเศรษฐกิจการส่งออก เราเคยเป็นผู้นําส่งข้าวออกเป็นที่หนึ่งของโลก ส่งยางเป็นที่หนึ่งของโลก ส่งมันสําปะหลังเป็นที่หนึ่งของโลก อะไรหลายอย่างเป็นที่หนึ่งของโลก แต่บัดนี้ตําแหน่งมันก็เปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไปมองอาจมีคนมาวิจารณ์ประเทศตัวเอง แต่ว่าจริงๆแล้ว ที่คนอื่นแซงไปเพราะว่าเขามีเวลาพัฒนาอินเดียประเทศใหญ่ เขาก็เปลี่ยนได้มากกว่า
แต่ส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องตลาด เรื่องเศรษฐกิจในฐานะเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ราคาของเรามันแพงกว่า เช่น ข้าว จําได้ว่าเวลาส่งไปขายเพื่อนบ้านต้องต่อรองกัน เราสู้ราคาเวียดนามไม่ได้ เวียดนามราคาต่ำ เพราะคุณภาพไทยสูง อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นมีการประกวดคุณภาพข้าวหอมมะลิ ฉะนั้นก็ต้องทบทวน ว่าเราจะต้องสร้างความหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม จะอยู่กันนิ่งเฉยๆ กินบุญเก่าหรือความสามารถเก่าอย่างเดียวไม่พอ ต้องพัฒนาไป
"ผมเคยทําหนังสือถึงกระทรวงเกษตร เรื่องว่าจะต้องพัฒนา เพราะระบบของเรานั้น อาศัยระบบราชการ ระบบราชการและอธิบดีคนหนึ่งทํามาถึงจุดหนึ่งเกษียณคนใหม่มา ก็มานับหนึ่งใหม่อย่าง มันไม่ทันการ ต้องพยายามทําให้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ประสานกับผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งเรื่องยางพารา ก็เหมือนกัน "
นายชวน ระบุอีกว่า ประเทศเราในส่วนหนึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่น บางเรื่องด้อยกว่าเขา เพราะความเอาจริงเอาจัง ถามว่ากฎหมายเราไม่ดีไหม ก็ไม่ด้อยกว่าที่อื่น แต่การบังคับใช้กฎหมาย ก็ทําให้ปัญหา เพราะฉะนั้นจุดแรกสุด เมื่อเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แบบนี้ความเข้มแข็งของกฎหมายสําคัญมากเรียกว่าหลักธรรมาภิบาล ข้อที่หนึ่งเลยคือหลักนิติธรรมก็คือต้องเคารพกฎหมาย การเคารพกฎหมายบางเรื่องอาจจะดูล่าช้า แต่ไม่เกิดวิกฤต เมื่อไหร่ก็ตามที่เราออกนอกหลักกฎหมาย เช่น ใช้อํานาจตามอําเภอใจ จะเกิดวิกฤต เช่น ภาคใต้ เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจนที่สุดว่า วิกฤตเกิดขึ้นจากการที่เราใช้อํานาจตามอําเภอใจ นอกหลักนิติธรรม เพราะฉะนั้น คิดว่าประเด็นแรกคือการปกครองระบบนี้ต้องยึดมั่นในหลักกฎหมาย
ประเด็นต่อมาแม้จะมีกฎหมายดีอยู่แล้วก็ตามแต่ว่าบ้านเมืองยังมีปัญหาอยู่ คําตอบเข้ามาอยู่ที่คนเลย กฎหมายที่ดีกับคนที่ดีจึงสรุปได้ตั้งแต่ต้นตลอดมาว่ากฎหมายที่ดี คนที่ดีต้องไปด้วยกัน เพราะกฎหมาย ไม่ได้มีชีวิตชีวา ถ้าคนไม่บังคับใช้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาคน
ทั้งนี้ต้องพยายามทําให้คุณภาพคน มีศักยภาพให้ได้ คนไทยไม่ค่อยมีโอกาส ตอนผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่3ปี ขณะนั้นปัญหา โอกาสเด็กจบประถมได้เรียนมัธยม ไม่ถึง 50 % ประมาณ 41% จึงพยายามสร้างโอกาสขึ้นมาให้คนได้เรียนได้มากที่สุด บัดนี้เรื่องโอกาสปัญหาน้อยลงแล้ว แต่ปัญหาขณะนี้คือคุณภาพการศึกษาต้องพัฒนาให้ได้
สำหรับเรื่องปัญหาอุปสรรคเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขในทางการเมือง นายชวน มองว่า ปัญหาอันหนึ่ง ต้องยอมรับว่ารัฐบาลมาจาก ผู้แทนราษฎรที่มาจากเสียงข้างมาก จุดที่เห็นชัดเจนอยู่ขณะนี้อันหนึ่งก็คือว่าถ้าเราได้ผู้แทนที่มาจากระบบการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ก็จะได้รัฐบาลที่มาจากผู้แทนที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าเราได้รัฐบาล ที่มาจากผู้แทนโกงซื้อเสียงมา เราก็จะได้รัฐบาลที่มาแบบเดียวกัน
ดังนั้นเราจึงเห็นประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือมีการประพฤติปฏิบัติในทางทุจริตคอร์รัปชัน สูงถึงขั้นรัฐธรรมนูญต้องเขียนว่า กฎหมายนี้ปราบโกงถึงขั้นบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นฉบับปราบโกง แต่เหมือนว่าก่อนใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ระบบการโกง เกิดขึ้นจริงๆ ถึงได้มีคดีทําลายสถิติในประเทศอื่น ก็คือมีรัฐมนตรีติดคุกมากเป็นพิเศษแสดงว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นมาก
ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นอุปสรรคอันหนึ่งในการพัฒนาและทําให้ประชาธิปไตยของเรามีปัญหาเป็นปมด้อยของประชาธิปไตยว่า ประชาธิปไตยแสดงว่าใครๆ ก็โกงได้หรือ ความจริงไม่ใช่ ความจริงแล้วใครทุจริตโกงก็มีมาตรการลงโทษตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น คนเหล่านั้นก็เลยต้องติดคุก คนเหล่านั้นต้องหนีคดี เพราะว่ามาตรการกฎหมายที่เอาจริง อยากให้รักษาจุดนี้ ไว้ให้ได้
ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามทําให้กระบวนประชาธิปไตยของเราบริสุทธิ์ ยุติธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ ขอย้ำว่า มากกว่าที่เป็นอยู่ หมายถึงว่า ทุกระดับระดับเลือกผู้ใหญ่บ้าน กํานัน นายกอบต. นายกฯเทศมนตรี นายกอบจ. หรือสมาชิกในแต่ละท้องถิ่นไปถึงระดับการแต่งตั้งข้าราชการตั้งตํารวจ ทั้งฝ่ายปกครองข้าราชการ ทุกกระทรวง ทุกกรม ถ้ามาโดยพื้นฐานของการแต่งตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ต้องซื้อตําแหน่งคนที่รับตําแหน่งนั้นก็สามารถดูแลทุกข์สุขประชาชนได้ โดยไม่ต้องไปรีดไถชาวบ้าน
อย่างไรก็ตามการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในจุดเริ่มต้นก็คือฝ่ายการเมือง ผมเป็นฝ่ายการเมือง ผมยอมรับว่าถ้าฝ่ายการเมืองดี หมายถึงว่าถ้าไม่ทุจริต เขาไม่ตั้งคนทุจริตมาเป็นลูกน้องในการทํางาน จุดนี้จึงเป็นจุดที่อยากให้พี่น้องประชาชนเจ้าของประเทศได้ตระหนักว่า ท่านเลือกใครมา ท่านเลือกคนที่เอาใจใส่ ดูแลด้วยความสุจริตไหม หรือท่านเลือกคนที่ซื้อเสียงมา เขาก็ต้องมาเอาคืน เงินเดือนผู้แทนประมาณ1แสนบาทเศษ เท่านั้นเอง เขาลงทุน20-40 ล้านบาท คุ้มเหรอ เขาก็ต้องหาผลประโยชน์ด้วยวิธีต่างๆ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่ด้วยหาประโยชน์ ด้วยนโยบาย
แม้กระทั่งสภาผู้แทนอย่างที่ศาลฎีกาได้ตัดสินไป รวมทั้งในกรรมาธิการบางคณะ มีเข้ามาร้องว่ากรรมาธิการชุดนั้นเรียกผลประโยชน์ แต่บังเอิญคนที่มาร้องทําไม่ถูกต้อง ก็เลยเป็นเหยื่อให้ คนของนักการเมืองไปรีดไม่ใช่ 1 ล้าน หรือ 2 ล้านบาท แต่ขอ 50 ล้าน 10 ล้าน ก็อยากให้คนเอาเรื่อง แต่ว่าคนที่มีปัญหาไปทําอะไรไม่ถูกต้องเพราะเป็นเหยื่อคนเหล่านั้น
สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้น มันจะดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่นั้น เพราะหลายฝ่ายบอกว่า จะมีการใช้เงินกันเยอะ นี่จะมาถอนทุนกันอีกแล้วอะไรต่างๆ นี่เป็นข้อสังเกตให้กับประชาชนว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
"เราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว 90 ปี ครั้งหนึ่งอุปสรรคประชาธิปไตย ทหารยึดอํานาจเป็นว่าเล่น ผมเป็นส.ส.ครั้งแรกเมื่อ 2512 พอมาปี 2514 ก็ยึดอํานาจ เพราะรําคาญ สส. และรําคาญ สส ของพรรคของท่านเอง ท่านจอมพล ถนอม พรรคสหประชาไทยรําคาญเพราะ สส.ไปขอเงินคนละ3.5 แสน"
ทั้งนี้มันผิดทํานองคลองธรรม ที่เอางบพฤติกรรมลับที่สุดให้ สส.แต่ละคนไปพัฒนาพื้นที่ตัวเองเพื่อหาเสียง ผมเป็นหนึ่งในคนที่อภิปรายยังปรากฏอยู่ว่าอันนี้ไม่ถูกต้องปีต่อมา สส. เหล่านั้นเขาขอเพิ่มจาก 3.5 แสนเป็น1ล้าน รัฐบาลไม่ยอมก็เลยทะเลาะกันเองในที่สุดจอมถนอมก็ปัดรําคาญยึดอํานาจ
เราก็คิดว่าอุปสรรคจากทหารในอดีต ต่อเนื่องมาทําให้ชาติไทย ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด แต่สถานการณ์นั้นค่อยค่อยลดน้อยลงไป เราคิดว่าโอเค เราคิดว่าบัดนี้เรื่องของอุปสรรคจากทหารก็เบาบางลง คลี่คลายลงไป แต่เราก็ไม่ได้นึกมันเกิดโรคใหม่ขึ้นมา ไม่มีใครคิดว่าธุรกิจการเมืองเข้ามาใหม่ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อแม้กระทั่งตําแหน่งส.ว. ประธานส.ว. องค์กรอิสระ ซื้อพรรคการเมือง ซื้อ ส.ส. หรือซื้อแม้กระทั่งสื่อมวลชน เพราะอันนี้เป็นอุปสรรคที่ติดตามมา เรียกว่าเป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นจากโรคเดิมที่คลี่คลายลงไปแล้ว
มาถึงวันนี้เราเรียนรู้ประสบการณ์นี้มาแล้ว แต่แปลกกว่าบัดนี้ ปี 2566 แนวโน้มการเมืองกับธุรกิจการเมืองใช้เงินกลับมารุนแรงจนมีการยอมรับในหมู่นักการเมืองขณะนี้ว่าเที่ยวหน้าน่าจะแข่งกันด้วยตัวเลขรุนแรง อันนี้ก็ต้องเรียนพี่น้องประชาชนว่าเราในฐานะเจ้าของประเทศอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย จะต้องไม่เป็นเหยื่อให้กับนักการเมืองกลุ่มใดก็ตามที่ใช้เรื่องเหล่านี้ มาเป็นกลไกเครื่องมือในการที่จะสร้างจํานวน ส.ส.ด้วยการซื้อจากประชาชน
ด้วยเหตุนี้ทางสภาก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ จึงจัดทําโครงการบ้านเมืองสุจริต ขอพี่น้องได้ให้ความสนับสนุน ขอครูบาอาจารย์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษาทุกระดับ วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถาบันทั้งหลายได้ขอความร่วมมือว่าเรากําลังทําบ้านเมืองให้สุจริต โดยการรณรงค์ให้เยาวชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ประชาชน ให้นักศึกษาหรือใครก็ตามทุกระดับร่วมมือกัน ยอมรับเรื่องของความเชื่อในเรื่องบ้านเมืองสุจริต
นายชวน กล่าวอีกว่า อยากให้กําลังใจกับทุกฝ่ายที่รักประชาธิปไตยได้ อย่าให้อุปสรรคใดๆ มาทําลายความเชื่อมั่นต่อระบบนี้ การที่สภาล่ม ขอให้ระลึกว่าเป็นพฤติกรรมส่วนตัวบุคคลของบางคนบางกลุ่มเท่านั้นเอง
"พี่น้องอย่าเอาถึงขั้นไปเบื่อหน่ายต่อระบบการปกครองนี้ เที่ยวหน้าไม่ไปเลือกตั้งแล้ว เลือกไปแล้วมันไม่รับผิดชอบ ขอให้เลือกคนรับผิดชอบเข้ามา ขอให้เชื่อมั่นระบบ เราเลือกแล้วว่าระบบนี้จะต้องมีจุดเด่น จุดดีอยู่ จุดด้อย ค่อยค่อยแก้ไขกันไป"
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สําคัญอย่าไปมองหรือว่าโยนความรับผิดชอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเฉพาะ เช่น การบริหารประเทศ อย่ามองเพียงว่ารัฐบาลอย่างเดียว ที่จริงแล้วมันมีองค์กรอื่นที่มีหน้าที่ เช่น ราชการ สื่อมวลชน องค์กรอิสระ พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ไม่ใช่ความรับผิดชอบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบร่วมกัน