อดิศร เดือดทุบโต๊ะกลางที่ประชุมพรรคเพื่อไทย “ไม่ยกเก้าอี้ให้พระบวชใหม่เป็นเจ้าอาวาสแน่” – ขณะ‘ภูมิธรรม’ แจง ประธานสภา ยังเป็นแค่ข้อเสนอ
ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดงานสัมมนา ส.ส. ซึ่งบรรยากาศการจัดสัมนาเป็นไปอย่างคึกคักท่ามกลางการจับตาของสื่อมวลชนว่าจะมีการถกเถียงกันเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎรหลังมีกระแสข่าวไลน์หลุด ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงความไม่พอใจแกนนำพรรคที่ออกมาระบุจะยึดหลักการให้พรรคอันดับหนึ่งได้ตำแหน่งประธานสภา และพรรคอันดับสองได้ตำแหน่งรองประธานสภา 2 เก้าอี้ โดยผู้ที่แสดงตัวชัดเจนคือนายอดิศร เพียงเกษ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ก่อนการสัมมนานายอดิศร ได้ทักทายกับนายภูมิธรรม เวชยชัย จับมือพูดจากันด้วยดีพร้อมบอกกับสื่อที่ยืนอยู่ว่าสนิทกันดีเคยทำงานกระทรวงเดียวกันตอนอยู่ป่าก็อยู่ด้วยกัน โดยนายอดิศรระบุว่าว่าสิ่งที่แสดงความคิดเห็นไปเพื่อพรรคทั้งนั้น ขณะที่นายภูมิธรรม ระบุว่ามีอะไรก็ขอให้พูดคุยกัน วันนี้ก็เบาๆ หน่อยนะ
จากนั้นเวลา 10.00 น. พรรคเปิดโอกาสให้ ส.ส.ได้แสดงความคิดเห็น ภายใต้หัวข้อ “เพื่อไทยเปิดใจ เพื่ออนาคตไทย” โดยนายภูมิธรรมได้กล่าวเปิดใจถึงกระบวนการทำงานในการเป็นตัวแทนพรรคไปทำหน้าที่เป็นเจรจาในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล ว่าที่ผ่านมาพวกได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการบริหารพรรคมอบหมาย การพูดคุยกับพรรคก้าวไกลได้เสนอไปว่าแต่ละพรรคได้ ส.ส.ใกล้เคียงกันก็ควรได้ตำแหน่งรัฐมนตรีพรรคละ 14 คน พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.มาที่หนึ่งก็ควรได้ประมุขฝ่ายบริหาร พรรคเพื่อไทยควรได้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เรื่องตำแหน่งประธานสภายังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ยังรอคำตอบจากทางพรรคก้าวไกล แต่การให้ข่าวของตนและเลขาธิการพรรคอาจจะทำให้สมาชิกพรรคเกิดความไม่สบายใจหรือความไม่พอใจ เรื่องการยึดหลักการเรื่องการยึดหลักพรรคอันดับหนึ่ง วันนี้จึงเปิดโอกาสให้ ส.ส.ได้แสดงความเห็นได้เต็มที่
จากนั้น นายอดิศร เป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็นว่า เรื่องประธานสภาไม่เห็นด้วยที่เรา 141 เสียง เขา 151 เสียง แต่เราไปยอมเขาทุกเรื่องราว พรรคก้าวไกลเขาควรได้เป็นฝ่ายบริหาร แต่จะหาวเอาเดือนเอาดาว เอาประธานสภาไปด้วย มันจะง่ายเกินไปหน่อย ไม่เห็นเพื่อนฝูงอยู่ในสายตา
“ผมตรงไปตรงมา ผมสู้ให้พรรคเพื่อไทยยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ลูกน้องของพรรคการเมืองใด ผมเห็นใจในการเจรจา ไม่ทราบว่าเจรจาอย่างไร ถ้าเขาได้นายกฯ เราได้ประธานสภามันจะสง่างาม และจะได้ถ่วงดุลการทำงานด้วยกัน ถึงอย่างไรเราก็ไม่สามารถให้ประธานสภากับพรรคก้าวไกลได้ เมื่อเกิดความขัดแย้งก็โหวตกันในสภา ผมยืนยันว่าศักยภาพของเรา เรามีบุคลากรที่เหมาะสม ผมไม่อยากเห็นพระบวชใหม่มาเป็นเจ้าอาวาส เรามีบุคลากรเยอะ อย่าไปยอมให้เขาง่าย เราอย่าไปห่วงความรู้สึกเขา คุณจะเป็นพรรคก้าวไกล หรือพรรคเพื่อไทย เรื่องประธานสภาถึงอย่างไร ผมคิดว่าต้องเป็นของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้รัฐบาลผสมเดินทางไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม”
นายอดิศรย้ำว่า ไม่รู้จะงดออกเสียงหรือไม่ เพราะไม่สามารถยกมือให้พระบวชใหม่ได้ พรรคเพื่อไทยไม่ใช่สาขาของพรรคก้าวไกล เราเหนื่อยยาก เพราะต้องสู้กับพรรคก้าวไกล ฉะนั้นการทำงานในทางการเมืองอย่าอ่อน แข็งต้องแข็ง พรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์มา 22 ปี เราต้องสรุปบทเรียน และพรรคเพื่อไทยจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าทุกพรรคในประเทศนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอดิศร กล่าวในระหว่างการสัมมนา ส.ส.ใหม่ ของพรรคเพื่อไทย วันนี้ (21 มิ.ย. 66) โดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค เป็นผู้รับฟังภายใต้หัวข้อ “เพื่อไทยเปิดใจ เพื่ออนาคตไทย” ในงานสัมมนาว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย
นายภูมิธรรม ระบุว่า ตนเองได้คุยกันระหว่าง 2 พรรค คือ พรรคก้าวไกล และเพื่อไทย ในการเจรจาคุยกัน สรุปว่า การแบ่งจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี 2 พรรคหลัก 14 ที่นั่งเท่ากัน โดยระหว่างพูดคุย ได้เสนอให้พิจารณาว่า พรรคก้าวไกลมี 14+1 คือตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารนายกรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยมีส.ส. 141 ที่นั่ง ต่างจากพรรคก้าวไกลไม่มากเพียง 10 ที่นั่ง จึงเสนอถึงความเหมาะสม และเพื่อให้กำลังใจทุกฝ่าย ขอเสนอให้เราได้ 14+1 ที่นั่ง ในการเป็นประมุขนิติบัญญัติ ถ้าหัวหน้าพรรคเราเป็นประธานสภาก็เหมาะสม และขอให้พิจารณาอย่างเร็วที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีอะไร เราก็ให้เกียรติพรรคแกนนำในการพูดคุย และเกิดเป็นความเห็นอย่างที่พูดกันในข่าว โดยสิ่งที่ออกไปในข่าว อาจทำให้คนรู้สึกเห็นด้วยหรือเห็นต่างกัน จึงจำเป็นที่คนในพรรคต้องพูดคุยกัน ขอยืนยันว่ายังไม่เคยมีการเจรจาต่อจากนั้นเลย
“ส่วนกรณีที่นายรังสิมันต์ โรมออกมาพูดขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ยอมสละเก้าอี้ตำแหน่งประธานสภานั้น ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ความเห็นของผู้เจรจา จึงควรให้ผู้เจรจามาสรุป และแถลง จึงจะแสดงความเห็นได้ และไม่ควรทำในระหว่างที่ยังไม่มีความชัดเจน จนเกิดเป็นวิวาทะ สื่อก็ไปพาดหัวไปต่างกันตามความเข้าใจ ได้พูดคุยกันว่า หากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติรับรอง ส.ส. แล้วถึงจะเริ่มเจรจา ไม่ใช่แค่ประธานสภา หรือรองประธานอย่างเดียว ยังมีการจัดตั้งรัฐบาลที่ต้องคุยกันทั้งระบบ” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า การเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่ปรึกษาพรรค แต่ตามกระบวนการต้องพูดคุยกับผู้บริหารก่อน และมาแจ้งต่อสมาชิกพรรคให้ทราบ วันนี้จึงเปิดพื้นที่ให้ทุกคนแสดงความเห็นได้เต็มมที่ และพร้อมรับฟัง