สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกแถลงการณ์ต้านร่าง พรบ. ส่งเสริมจริยธรรมสื่อฯแฉพิรุธรวบรัด ห่วงกลายเป็นเครื่องมือผู้มีอำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพ การประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2566 สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการออกพระราขบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ถูกบรรจุอยู่ในระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 7 ก.พ.2566
โดย ระบุว่า การนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.. เข้าสู่การพิจารณาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาดังกล่าว เป็นการดำเนินการโดยรวบรัด ขาดการรับฟังความคิดเห็นอย่างทั่วถึง ครบถ้วน และรอบด้านจากทุกภาคส่วนของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่มีหลายหลายประเภทแตกต่างตามช่องทางการเปิดรับสื่อที่เปลี่ยนแปลงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ สาระสำคัญในจำนวนบทบัญญัติทั้ง 49 มาตรา ที่ปรากฎในร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมวิชาชีพ พ.ศ...องค์กรสื่อ "สภาวิชาชีพสื่อมวลชน" ขึ้นมาทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และพิจารณาวินิจฉัย
มุ่งหมายให้มีการจัดตั้งความถูกผิดของการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่าขัดต่อจริยธรรมวิชาชีพหรือไม่ โดยมิได้ตระหนักถึงวิธีการเข้าสู่วิชาชีพสื่อมวลชน เปิดกว้างสำหรับทุกสาขาวิชาชีพอันมีลักษณะที่แตกต่างจากการออกกฎหมายเพื่อใช้กับการกำกับการประกอบวิชาชีพอื่นๆ และอาจกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยอ้างเหตุผลการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ในระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา นักการเมืองและทหารที่เข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศ มีความมุ่งหมายที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุม กำกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมาโดยตลอดไม่ต่ำกว่า 5 ฉบับ โดยร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวให้อำนาจแก่คณะบุคคลที่มาจากกระบวนการสรรหาเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมกำกับการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชน ซึ่งหมายรวมถึงเสรีภาพของประชาชน อันเป็นแนวคิดที่สวนทางกับกระแสโลกและความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบันที่รัฐไม่สามารถจำกัดช่องทางการสื่อสารของประชาชนได้อีกต่อไป
การจัดตั้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนดังกล่าว มีแต่จะสะท้อนถึงความล้าหลังในการนำกฎหมายมาจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และสื่อมวลชน ซึ่งจะนำมาซึ่งความสูญเปล่าของงบประมาณและการบริหารราชการแผ่นดิน
นอกจากนั้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมิได้มุ่งให้เกิดการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมวิชาชีพแต่อย่างใด ดังนั้นการจัดตั้งองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนที่บัญญัติให้มีกระบวนการสรรหาแบบไทยๆ ที่นับวันจะสะท้อนให้เห็นการหนุนสร้างระบบอุปถัมภ์ที่ยึดโยงกับพวกพ้องในการเข้าสู่อำนาจและผลประโยซน์ดังที่เห็นอยู่ทั่วไปนั้น
หากสรรหาบุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือจากผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหรือรับใช้อำนาจเข้ามาทำหน้าที่ตัดสินหรือรับรองความถูกผิดของการทำหน้าที่ตามจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนและความน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสารแล้ว จะเป็นความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจเข้ามาควบคุมแทรกแชงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยวิธีการต่างๆ ได้ในอนาคต
ความพยายามจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ... และผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ด้วยข้ออ้าง "เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระและเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน"ตามที่ปรากฏในเจตนารมย์ของการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ อุปมาได้กับการ"สร้างภาพลวงตา"
ทั้งนี้ ในปัจจุบันผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่เพียงต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายกว่า 30 ฉบับ ทั้งกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง รวมทั้งกฎหมายอื่นๆที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับ และตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากภาคประชาสังคม และประชาชน โดยไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้น
ในการตราร่างพระราชบัญญัติส่งสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน...ด้วยเหตุผลที่กล่าวถึงข้างต้น สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงขอคัดค้านการดำเนินการใดๆเพื่อผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนฉบับดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ในทุกกรณี
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาได้สื่อมวลชนหลายภาคส่วนได้เคลื่อนไหวคัดค้านร่างพ.ร.บ.ส่งสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน อย่างมาก