เราคงไม่ใช่มาเป็นพรรคเล็กๆหรือเป็นพรรคที่คอยติดตามว่าใครจะเป็นพรรครัฐบาลแล้วก็จะไปนําเสนอ เราก็ตั้งตัวเราเองเป็นแกนหลักหนึ่งแกนจะเป็นขั้วที่จะลดความขัดแย้งต่างๆ เหมือนพรรคดึงฟืนออกจากกองไฟ
หมายเหตุ*นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ สำนักข่าว the better ถึงมุมมองประเทศไทยจะดีกว่านี้ได้อย่างไร ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยมีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้
"อนุทิน"ระบุว่า วันนี้เรากําลังเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ การเลือกตั้งในปี 2566 มันจะเป็นการเลือกตั้งที่ปราศจากสิ่งที่อยู่นอกระบบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ลองคิดดูแม้กระทั่งผู้เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร ก็ยังต้องมาลงเลือกตั้ง เพื่อรับใช้ประชาชนผ่านระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นถือว่าการเลือกตั้งปี 2566 มันจะมีความหมายที่ดีมาก มันจะเป็นการตอบโจทย์ทั้งหมดว่าในที่สุดแล้วระบอบประชาธิปไตย คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คือสิ่งที่สวยงามที่สุด คือสิ่งที่เหมะสมกับประเทศมากที่สุด
“ผมจึงมีความดีใจที่เราจะได้ก้าวเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ ซึ่งก็จะทําให้ทุกฝ่ายได้นําเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองแล้วให้ประชาชนเป็นผู้พิจารณา”
“อนุทิน” ยืนยันว่า วันนี้เราไม่ได้มองว่าเราจะเป็นอยู่ฝั่งไหนขั้วไหน แต่มองว่าเราจะเป็นขั้วที่ประชาชนให้ความเชื่อใจได้เลยว่าจะเป็นขั้วที่จะลดความขัดแย้งต่างๆ เหมือนพรรคดึงฟืนออกจากกองไฟ ผมก็มั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคหนึ่งที่อยู่ในใจของพี่น้องประชาชน
# ไม่ร่วมสังฆกรรมพรรคก้าวล่วงสถาบัน
สำหรับเรื่องเร่งด่วนที่จะแก้ปัญหาหากได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั้น “อนุทิน” บอกว่า หลักง่ายสุด ก็คือต้องลดความขัดแย้ง ลดความเป็นขั้วให้ได้ และถึงจะมีการตรวจสอบในกติกาในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบเพื่อมุ่งมั่นทําลายซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เป็นการสร้างเหตุการณ์ สร้างสถานการณ์ สร้างเรื่องขึ้น มาด้อยค่า มาเหยียดหยามหรือมากล่าวให้ร้าย โดยปราศจากความจริง
สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ถ้าผู้นํา หรือ ผู้ที่เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินของประเทศ มีความนิ่งพอ แล้วฟัง แล้วก็พยายามหาหนทาง บางทีการลุยไปโดยที่ไม่ถอยหลังเลย มันก็อาจจะเกิดความเสียหายได้ แต่ถ้าเราหยุดนิ่งบ้าง ฟังบ้าง ใช้วิธีการความสัมพันธ์ต่างๆ ที่มีอยู่ พยายามที่จะมุ่งเจรจาให้ทุกคนได้เห็นว่าไม่ว่าเราจะทะเลาะกัน มองต่างกันหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ให้ความต่างเกิดผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งตรงนี้มันทําได้ในยุคสมัยนี้ และนี่ก็คือในส่วนที่ว่าถ้าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสได้เข้ามาเป็นแกนนํา หรือเป็นผู้กําหนดเกณฑ์ได้ภายหลังการเลือกตั้งปี 2566
“ภูมิใจไทยเราวางตัวเราเอง ตอนนี้เป็นแกนแล้วครับ เรามีสส.ตั้ง70-80 คน แล้วคาดหวังว่าเราจะได้รับความเมตตา ความเชื่อมั่น จากพี่น้องประชาชน ในการที่จะให้เราเข้ามาทำงานให้กับพวกเขา เราดูแล้วว่าเราคงไม่ใช่มาเป็นพรรคเล็กๆหรือเป็นพรรคที่คอยติดตามว่าใครจะเป็นพรรครัฐบาลแล้วก็จะไปนําเสนอแล้ว เราก็ตั้งตัวเราเอง เป็นแกนหลักหนึ่งแกน ถ้าเราโชคดีเราสามารถรวบรวมเสียงได้มาบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายต่างๆ ที่เราได้พิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนได้เห็นแล้วว่าเราส่งการบ้านครบหมด เรากล้าคิดกล้าทํา กล้าตัดสินใจเพื่อประโยชน์พี่น้องประชาชน”
ด้าน หลักการในการร่วมรัฐบาลนั้น “อนุทิน” บอกว่า เรามีเกณฑ์แน่นอน จะร่วมไม่ได้ก็คือ ผู้ใด คิดไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ผู้ใดที่ต้องการด้อยค่า หรือว่าการกระทําใดๆ ที่เป็นการลดหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์ พระประมุขของชาติ ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทย จะร่วมงานด้วยไม่ได้ เพราะพรรคภูมิใจไทยถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักที่จะต้องอยู่กับประเทศไทยตลอดไป
อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเราจะไปเกลียดชัง เราไม่สามารถเกลียดชัง หรือไม่สามารถไปคิดแทนคนอื่นได้ แต่ถ้าใครจะแตะเพื่อให้ เกิดความเสียหายต่อสถาบัน เราก็คงไปร่วมด้วยไม่ได้
ในส่วนแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจนั้น "อนุทิน"มองว่า พื้นฐานของประเทศไทยโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทย มีความมั่นคงแข็งแรงมาก สิ่งที่รัฐบาลจะเข้ามา ก็คือว่ากันไปแล้ว เราผลักดันให้มันไปข้างหน้าบนพื้นฐานที่เข้มแข็งอยู่แล้ว เราอย่าไปคอยถ่วงหรือคอยดึงหรือคอยทําให้เกิดความล่าช้าในการขยายตัวใดๆทางเศรษฐกิจ โดยที่เราจะต้องมีความเข้าใจและรอบรู้ว่าการผลักดันทางเศรษฐกิจ บางครั้งถ้าเป็นการผลักดันโดยคําว่าผลกําไรสู่รัฐอาจจะไม่เป็นปัจจัยที่สําคัญที่สุด
แต่การอํานวยความสะดวกประชาชน การทําให้เกิดความคล่องตัวทางด้านการประกอบ กิจการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการ การทําให้เกิดความคล่องตัวในระบบคมนาคมขนส่ง ทําให้เกิดประโยชน์ทางด้านภาษี สําหรับผู้ที่จะลงทุนในประเทศไทย ทําทุกอย่างให้เขามีต้นทุนที่น้อยที่สุดแล้วสามารถที่จะมีรายได้ มีโอกาสให้มากที่สุด สิ่งเหล่านี้รัฐจะได้ประโยชน์โดยทางอ้อมอยู่แล้วก็คือการจะได้ภาษี เงินได้ของนิติบุคคลภาษีเงินได้ของการจ้างงานคือภาษี ภาษีบุคคลธรรมดาภาษีมูลค่าเพิ่ม การลดภาระทางด้านสังคม ผู้คนมีงานทํา ผู้คนมีรายได้ดีสิ่งเหล่านี้มันก็จะ ส่งผลให้สังคมมีความนิ่ง ไม่มีใครอยากจะไปมีเรื่องมีราวกับใครหรือเห็นต่างกับใคร ถ้าทุกคนมีภาระหน้าที่ มีรายได้ มีโอกาสอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องทําเป็นภาพรวม และมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายหลังการเลือก ในปี 2566
#ชูแก้เหลื่อมล้ำด้วยการเข้าถึงระบบสาธารณสุขเท่าเทียม
ขณะที่เรื่องความเหลื่อมล้ำนั้นเป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยต่อต้านมากที่สุด แล้วก็ได้เร่งแก้ปัญหาในหลายหลายเรื่องอย่างเช่น การฟอกไต ทุกคนฟอกไตฟรีหมดแล้วในประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะคนมีสตางค์เท่านั้นการเข้ารับการรักษาพยาบาลในหน่วยในโรงพยาบาลของรัฐ ป่วยที่ไหนเข้าที่นั่น ไม่มีการถูก เช็กประวัติหรือว่าเช็กว่าไปลงทะเบียนอยู่ที่ไหน เรื่องของการเข้าถึง การรักษาพยาบาล
ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด
นอกจากนี้ยังรวมถึงเรื่องของสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่รัฐสามารถจะปฏิบัติให้ได้ เรื่องของการจ้างงาน เรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เราขยายตัว ขยายระบบสาธารณูปโภคไปในแทบทุกพื้นที่ทุกจังหวัด ไม่มีคําว่าจังหวัดนี้เลือกพรรคเราหรือเปล่า ถ้าไม่เลือกไปช้าหน่อยไม่มี เราผ่านไปทุกจังหวัด ระดมทุกอย่างให้เกิดความเท่าเทียม เรื่องของสังคมผู้สูงอายุ เราดูแลผู้สูงอายุ ติดเตียง ระบบการสาธารณสุขที่ดี เราจัดเรื่องผ้าอ้อม เราจัดเรื่อง สวัสดิการสําหรับคนที่เข้าไปดูแลผู้สูงอายุต่างๆ ให้เขาไม่เป็นภาระ เราจัดให้ อสม.ได้ หมอคนแรกเพื่อที่จะทําให้คนไทยทุกคนเข้าถึงระบบสาธารณสุขอย่างเท่าเทียมกันทุกคน สร้างเสริมสุขภาพ เท่าเทียม ทุกคนเข้าได้หมด ทุกคนก็จะมีอายุที่สูงขึ้นแต่ว่าไม่เป็นภาระต่อสังคม ไม่เป็นภาระต่อลูกหลานของเหล่านี้ก็คือการลดความเหลื่อมล้ำ
เมื่อทุกอย่างได้รับการตอบสนองดูแลอย่างดี คนที่มีหน้าที่ทํางาน ก็จะได้ตั้งหน้าตั้งตาทํางานไป ไม่ต้องไปกังวลว่าเดี๋ยวจะต้องกลับมาดูแลบุพการี จะต้องเจียดเงินเป็นจํานวนมาก หากเกิดปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่บ้านป่วย เดือนนั้นทั้งเดือนเผลอๆ เงินเดือนยังไม่พอมารักษาท่านเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้จะหมดไป เพราะรัฐจะเข้าไปดูแลแทนด้วยระบบประกันสุขภาพ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แล้วก็ขยายการครอบคลุมเข้าไป ลูกหลานที่มาทําต่างถิ่นต่างเมือง ซึ่งสังคมมันต้องเปลี่ยนไป เขาจะไปเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่อยู่ที่บ้านไม่ได้แล้ว เขาก็ไปทําหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ ปล่อยให้ภาระการดูแลผู้สูงอายุ เป็นภาระของรัฐ จะดูแลให้ แต่รัฐไม่ใช่ว่าดูแลโดยการไปรักษาพยาบาลอย่างเดียว รัฐต้องเริ่มสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ ให้เขาเตรียมตัวที่จะเข้าสู่ช่วงวัยสูงอายุ ด้วยความพร้อมพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระต่อลูกหลาน ประกอบสัมมาชีพได้
นอกจากนั้นยังสามารถใช้ประสบการณ์ที่ตัวเองมีอยู่ถ่ายทอด ความรู้ต่างๆให้กับคนรุ่นหลังต่อไป โดยมีระบบสวัสดิการของรัฐ คอยทําให้เขาเกิดความเข้าใจว่า เขาจะได้รับการดูแล ต้องเข้าถึงระบบการดูแลทางด้านสุขภาพ อันนี้ก็คือเรื่องของการเหลื่อมล้ำ ที่เราพยายามที่จะทําให้มันเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ภายหลังการเลือกตั้งปี 2566
"อนุทิน"ย้ำว่า พรรคภูมิใจไทย ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า สโลแกนของคําว่าพูดแล้วทําที่ผ่านมาในนโยบายปี 2562 ทําเกือบหมดแล้ว grab ถูกกฎหมายแล้ว การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระบบคมนาคมขนส่งสาธารณูปโภค เราทําอย่างเต็มที่ทั่วประเทศ รถไฟเร็วสูง ได้รับการอนุมัติให้เชื่อมก่อสร้างเชื่อมเข้าไปในลาวแล้ว แล้วก็ต่อขึ้นไปยังตอนใต้เทศจีน ระบบรถไฟรางคู่ความเร็วสูง ก็มีตั้งแต่เหนือจรดใต้ อีสานมาตะวันออก ก็คือพูดง่ายๆ เป็นสี่มุมประเทศแล้ว ก็เกิดขึ้นในยุคที่พรรคภูมิใจไทยได้กำกับดูแล ทางด้านคมนาคมขนส่งในประเทศนี้
ด้านการท่องเที่ยวก็ได้มีการปรับมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งเป็นความคิดของพรรคภูมิใจไทย ที่ว่าจะมีเมือง เมืองหนึ่งในช่วงที่โควิดระบาดหนัก จะเป็นเมืองตัวอย่างที่ให้คนได้เห็นว่าถ้าสามารถบริหารจัดการได้ดี เมืองนั้นก็ยังไม่ต้องถูกปิด เมื่อภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เราก็ขยายออกไปยังเมืองอื่นๆ จนสุดท้ายทั่วประเทศ ก็สามารถที่จะรองรับสถานการณ์โควิดได้ ก็เปิดประเทศได้
ในเรื่องของระบบการสาธารณสุขนั้น ก็เห็นว่า การเข้าถึงการรักษาพยาบาล การเข้าถึงระบบการสาธารณสุขของคนไทยทุกคน เข้าถึงได้อย่างเต็มที่ เมื่อมีสถานการณ์โรคระบาด ประเทศไทยก็สามารถ จัดหาเวชภัณฑ์ จัดหายา จัดหาวัคซีน มาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันคุ้มกันให้กับงประชาชนได้ จนสามารถเปิดประเทศได้ก่อนประเทศอื่นๆในในโลกนี้ ทําให้การกลับคืนฟื้นตัวทางเศรษฐกิจพลิกฟื้นกลับมาเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ จํานวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาภายใต้มาตรการที่เรากําหนดขึ้นมาก็ทําให้มีรายได้จากที่เคยขาดหายไป ซึ่งเป็นรายได้สําคัญมากคือการท่องเที่ยวเริ่มทยอยกลับเข้ามาสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือ นโยบายของพรรคภูมิใจไทย
ในขณะที่นโยบายกัญชาทางการแพทย์ ก็ได้ทําการปลดล็อกกัญชา เรื่องของกฎหมายก็ผลักดันไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง จากพรรคที่อาจจะมองว่า ถ้าผ่านกฎหมายกัญชาแล้ว จะทําให้พรรคภูมิใจไทย มีความนิยมแรงขึ้นไปอีก เขาก็ใช้วิธีการทางการเมืองคอยบล็อกอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทราบอยู่แล้วว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เราก็มีกฎอีกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งมาทําให้ผู้ที่ดําเนินธุรกรรมต่างต่างที่เกี่ยวข้องกับพืชกัญชา สามารถดําเนินกิจการต่างๆ ไปได้ เฉกเช่นปกติ ถ้ามีกฎหมาย ก็เป็นเพียงแต่ว่าเป็นกฎหมายที่ถูกตราขึ้นมาเพื่อควบคุมการใช้ในทางที่ผิด
แต่ก็มีกฎอื่นที่คอยดูแลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยได้ให้สัญญาไว้กับประชาชนเราก็ส่งการบ้านครบทุกอย่าง นั่นคือนโยบายหลัก นโยบายเราก็คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในแต่ละวัน นโยบายเรื่องโควิด เรื่องวัคซีน ไม่ได้อยู่ในนโยบายหลักเพราะเราไม่คิดว่ามีโควิดตอนหาเสียงแต่เมื่อมันมีสถานการณ์โรคระบาดเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วย ความที่พรรคภูมิใจไทยเราก็มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง มีจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มากเพียงพอที่จะทําให้เกิดพลังที่จะสามารถ หางบประมาณหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ สนับสนุนให้ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์
ในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาดโควิด ก็ทําทุกอย่างให้คนได้เห็นพรรคเราพูดแล้วทํา เป็นพรรคที่คิดนโยบายมุ่งเน้นในเรื่องของปากท้องคุณภาพชีวิต แล้วก็สุขภาพของพี่น้องประชาชน เป็นพรรคที่ใช้เน้นวิธีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยสร้างความพร้อมในระบบคมนาคมขนส่งต่างๆครบวงจร ทําให้ประเทศไทยมีความพร้อม แล้วก็เป็นพรรคที่ให้ความมั่นใจกับคนต่างประเทศ ลองคิดดูว่าเมื่อสถานการณ์โควิด คลี่คลายลงเวลานักท่องเที่ยวจะเลือกว่าจะไปประเทศไหนเป็นประเทศแรก หลังจากเขาสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ประเทศไทยถูกเลือกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ นี่คือความสําเร็จ ในรัฐบาลชุดนี้ แล้วพรรคภูมิใจไทย ก็มีส่วนในการที่จะทําให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น