ประธานรัฐสภา แจงเหตุปิดประชุมรัฐสภา ชี้เป็นทางออกที่ดีให้บ้านเมือง ปัดปิดปากไม่ให้ อภิปราย 272 ถามกลับทำไม "ก้าวไกล" เสนอญัตติด่วนแทรก เผยญัตติ "โรม" ค้างอยู่นำมาถกต่อได้หลังศาลรธน.ตัดสินแล้ว
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงกรณีสั่งปิดประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ ว่า ได้ตัดสินใจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองแล้ว หลังจากมีปัญหาการเสนอญัตติ ของนายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เพื่อขอทบทวน มติรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่มีการตีความข้อบังคับ ไม่ให้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซ้ำ ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง
ประธานรัฐสภากล่าวว่า ต้องการชี้แจงให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจ เพราะมีการกล่าวหาจากบุคคลบางฝ่ายว่าประธานรีบปิดการประชุมเพื่อไม่ให้มีการอภิปรายญัตติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ปิดสวิตช์ สว. นั้น ถือ เป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะตั้งใจจะให้มีการอภิปราย ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ มีการบรรจุอยู่ในวาระการประชุมเป็นวาระที่สอง และต้องการเลื่อนขึ้นมาเป็นวาระที่หนึ่ง แทนวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่สามารถเดินหน้าดำเนินการได้ เนื่องจากอยู่ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณา
แต่ยังไม่ทันได้ เลื่อนวาระดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา นายรังสิมันต์ กลับเสนอญัตติด่วน ขึ้นมาเพื่อทบทวน มติรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ทั้งที่เป็นมติที่ได้ดำเนินการตามข้อบังคับที่ 151 แล้ว และตามข้อบังคับ ถือเป็นมติที่เด็ดขาด ดังนั้นการขอทบทวนมติที่มีผลเด็ดขาดไปแล้วจะกระทำไม่ได้ ประกอบกับเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิจารณาในวันที่ 16 สิงหาคม ปกติเมื่อเรื่องใดอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล รัฐสภาก็จะไม่พิจารณาเรื่องนั้นก่อน คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าเด็ดขาด ผูกพันทุกองค์กร
“ การที่เราจะตัดหน้าทั้งๆที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีความชัดเจนแล้วว่าจะพิจารณาเรื่องนี้ ในวันที่ 16 ส.ค. ถ้าเราไปพิจารณาก่อน ผมคิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เพราะมันเป็นการย้อนแย้งกับที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณา”
ประธานรัฐสภากล่าวว่า หากการประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ที่ประชุมมีมติทบทวน และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยตามหลังมาไม่ตรงกับมติของรัฐสภา ลองคิดดูว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นกับใคร รัฐสภาก็จะขาดความน่าเชื่อถือ จึงควรรอให้ศาลมีความชัดเจนเรื่องนี้ แล้วค่อยนำเรื่องดังกล่าว มาพูดคุยทบทวนทีหลังได้ แต่จะต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนเหตุผลว่าทำไมต้องฟังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตนไม่สามารถจะบอกได้ แต่ในฐานะที่เป็นประธานรัฐสภา เป็นผู้นำขององค์กร เราไม่สามารถนำองค์กร
ไปทำให้มีปัญหากับองค์กรที่กำลังจะตัดสินเรา
ประธานรัฐสภา กล่าวด้วยว่า ต้องขออภัย ยืนยันว่าเมื่อวานนี้ไม่ได้รีบหรือปิดหนี เพื่อไม่ให้ มีการอภิปรายญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.272 ตั้งใจรอเวลาเกือบชั่วโมงเพื่อให้สมาชิกเข้าประชุมได้ครบองค์ประชุม และตั้งใจจะเลื่อนวาระ แก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวที่สมาชิกพรรคก้าวไกล อยากจะอภิปรายขึ้นมาเป็นวาระแรก แต่กลายเป็นว่าสมาชิกเองกลับไม่ยอมที่จะให้เลื่อนเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา โดยการเสนอเรื่องด่วนที่ไม่ได้อยู่ในวาระขึ้นมาพิจารณาแทน
ส่วนตัวยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ก็ต้องถามเหตุผลกลับว่าทำไมสมาชิกไม่ยอมเลื่อน วาระ แก้ไขรัฐธรมนูญดังกล่าวขึ้นมา ทั้งที่ก็ถามหลายครั้งแล้ว
“ การไม่ยอมให้เลื่อนวาระที่สองคือแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมา ดูเหมือนว่า จะทำให้สภาเกิดความสับสนกับบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ เพราะวันที่ 16 ส.ค.ถ้าศาลวินิจฉัยจบ ทุกอย่างก็จะเดินหน้าต่อไปได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้จำเป็นจะต้องพูดคุยกับ สส. พรรคก้าวไกลเพื่อให้ถอนญัตติด่วนดังกล่าวออกไปหรือไม่ เนื่องจากญัตติยังคงค้างอยู่ในการเสนอ
ประธานรัฐสภากล่าวว่า เหตุผลที่ต้องปิดการประชุมไป ก็เพื่อต้องการให้ญัตติด่วนที่ นายรังสิมันต์ โรม เสนอยังคงค้างอยู่ในการพิจารณา เพราะเมื่อเปิดประชุมรัฐสภาเมื่อไหร่ ก็ยังสามารถมาพิจารณาต่อได้ แต่จะเป็นการพิจารณาหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว และจะได้ไม่เป็นการละเมิดศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการประชุมรัฐสภาครั้งหน้าจะเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 16 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้ว ญัตติทั้ง 4 ญัตติ คือ การโหวตเลือกนายกฯ การแก้ไขมาตรา 272 การทบทวนมติรัฐสภา เมื่อ19 ก.ค.และ ญัตติไม่เห็นด้วยกับการทบทวนมติรัฐสภา 19 ก.ค. ก็ยังอยู่ และจะเดินหน้าต่อไปหลังศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแล้ว
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ส่วนการนัดประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้งก็ต้องรอความชัดเจนของศาลรัฐธรรมนูญก่อน และจะดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดว่าจะกำหนดการประชุมภายใน 3 วัน ไม่ 18 ก็ 19 ส.ค. เพราะต้องให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องไม่ผิดข้อบังคับการประชุม และต้องกระทำได้อย่างสง่างาม ถ้าทบทวนและมีมติออกมาอย่างนั้นที่จะไม่สง่างาม เพราะกลายเป็นว่าสภาต้องมาทบทวนมติตัวเอง แล้วก็จะมีคนเสนอทบทวนซ้ำอีกว่าสิ่งที่กำลังทบทวนไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่สง่างาม ตนจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ ของสภา เอาไว้