"พิชิต ชื่นบาน"ทนายถุงขนม 2 ล้าน เสี่ยงขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี "ทนายเชาว์"ชี้รธน.มาตรา 160 ระบุ มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
หลัง"พิชิต ชื่นบาน"ทนายถุงขนม 2 ล้าน มีชื่อเป็นรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ก็โดนถล่มทันที โดยเฉพาะปมขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี
โดย "เชาว์ มีขวด" อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ฟันธง"พิชิต ชื่นบาน"ทนายถุงขนม 2 ล้าน ขาดคุณสมบัติรัฐมตรี โดยระบุว่า เห็นโผครม. ‘เศรษฐา 1’ ที่ล่าสุดน่าจะนิ่งแล้ว มีชื่อน "พิชิต ชื่นบาน"โผล่เข้าวินในนาทีสุดท้าย เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วไม่สบายใจ
ทั้งนี้ "พิชิต ชื่นบาน" เคยเป็นทนายความที่มีเรื่องอื้อฉาวจากกรณีหิ้วถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาคดีแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาลสถานหนัก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
หลังจากนั้นสภาทนายความก็มีมติให้ลงโทษหนักสุดให้ลบชื่อ "พิชิต" ออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้จนถึงปัจจุบันนี้แม้ "พิชิต" จะพยามยื่นขอจดทะเบียนเป็นทนายความใหม่อีกสามครั้ง หลังจากถูกลงโทษไปแล้วห้าปีตามข้อบังคับ แต่ก็ถูกกรรมการสภาทนายความตีตกไม่อนุญาตจดทะเบียนทนายความให้ เพราะเห็นว่าความผิดที่ถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง
คดีที่ "พิชิต" ถูกกล่าวหาละเมิดอำนาจศาล มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4559 / 2551 ได้วินิจฉัยถึงการกระทำของ "พิชิต" ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในฐานะตัวการร่วมกันกระทำผิด ว่า “ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามมีเจตนาที่จูงใจให้หม่อมหลวงธิติพงศ์ และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลย
ในคดีหมายเลขดำที อม. 1/2550 “….”ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและความศรัทธาในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการจึงเห็นสมควรลงโทษในสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไปให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน”
“เป็นที่ประจักษ์ชัดจากคำวินิจฉัยศาลฎีกา ว่า นายพิชิต มีคุณสมบัติส่วนตัว ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ที่กำหนดให้รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงขอเตือนไปยังผู้ที่มีหน้าที่ได้กลั่นกรองให้รอบคอบ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ครับ” นายเชาว์ กล่าว
ขณะที่ "พิชิต" ชี้แจงผ่านสื่อ ว่า ไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจาก 1.เคยเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในปี 54-56 แถมในปี 62 ยังเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ อีกด้วย
2.ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยต้องคำพิพากษาในคดีความอาญา ในความผิดฐานให้สินบนเจ้าหน้าที่หรือศาล
3.คดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในปี 2552 ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” แต่พนักงานสอบสวน (ตำรวจ) สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด!
4.เคยถูกสั่งจำคุก “ฐานละเมิดอำนาจศาล” ซึ่งไม่ใช่ความผิดทางอาญา! (มีกรณีตัวอย่างในการพิจารณาของศาลฎีกามากมาย) และไม่ได้รับสิทธิในการอุทธรณ์-ฎีกา ใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีสิทธิคิดได้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
การละเมิดอำนาจศาลโดยสภาพปกติทั่วไป คือ การรบกวน ขัดขวาง ข่มขู่ หรือบังคับ หรือเป็นปรปักษ์ ขัดแย้ง ขัดขืนไม่เคารพเชื่อฟังระเบียบปฏิบัติหรือข้อกำหนดหรือคำสั่งศาล โดยการลงโทษมีอยู่ 2 ทาง คือ 1.ไล่ออกจากบริเวณศาล 2.จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
5.ใครๆ ก็ตามที่ได้รับโทษจำคุก แต่พ้นโทษมาแล้ว 10 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ 2560 ให้โอกาสบุคคลนั้นสามารถเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังเปิดโอกาสให้บุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกในความผิดฐานประมาท หรือความผิดลหุโทษ สามารถเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้ โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการพ้นโทษ
สำหรับ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา 160 ดังนี้
(1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี
(3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
(6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
(7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษเว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
(8) ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186
หรือมาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง