"เศรษฐา" ควง "สุทิน" กินข้าวเที่ยง "ผบ.เหล่าทัพ"คนใหม่ แนะนำตัว-กระชับสัมพันธ์
ความเคลื่อนไหวภารกิจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เชิญว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ อาทิ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่าที่ ผบ.ทสส. พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รอง ผบ.ทบ. ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดิ์ พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ร่วมรับประทานอาหารกลางวันเป็นการส่วนตัว ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำตัวและทำความรู้จักว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ อย่างเป็นกันเอง
โดยนายเศรษฐา ชี้แจงเหตุผลที่เลือก นายสุทิน มาทำหน้าที่รมว.กลาโหม ให้ว่าที่ทุกท่านรับทราบด้วย และไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามทำข่าว
ทั้งนี้ตามรายงานการนัดหารือกันในวันนี้ จะเน้นการรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะกับทางกองทัพบกให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือการขับเคลื่อนงานของรัฐบาล และกองทัพ โดยเฉพาะสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง ก่อนนำมาบรรจุไว้ในนโยบาย ร่วมกับนโยบายของ 11 พรรคการเมือง และตามหมุดหมายรัฐบาลจะแถลงนโยบายในวันที่ 11 ก.ย.นี้
ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า หลังหารือร่วมกับผู้บัญชาการ 4 เหล่าทัพแล้ว นายสุทิน มีกำหนดการเดินทางเข้าพบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาทิ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอคำแนะนำในการทำงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ นายสุทิน ยังเตรียมที่จะเข้าพบนักวิชาการด้านความมั่นคง อาทิ นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยก่อนหน้านี้ได้หารือกับ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ประจำ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่าก่อนหน้านี้ได้เคยมีการพูดคุยกันในเรื่องการทำงานระหว่างรัฐบาลและกองทัพมาบ้าง โดยนายเศรษฐา มีนโยบายพร้อมจะทำงานกับกองทัพในฐานะรัฐบาลพลเรือน ที่พร้อมรับฟังคำแนะนำต่างๆ อีกทั้งในเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุนจะไม่ตัดงบประมาณดังกล่าว หากมีความจำเป็น เพราะเข้าใจดีว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะปกป้องประเทศโดยเฉพาะตามแนวชายแดนต่างๆที่จำเป็นต้องมีทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน และหากมีการเจรจาในเรื่องนี้จะขอให้ทางกองทัพนำเสนอสินค้าภายในประเทศไทยที่มี เพื่อแลกเปลี่ยนหรือไปจำหน่ายกับประเทศนั้นนั้นในลักษณะการแลกเปลี่ยนหรือ บราเธอร์ (barter)ระหว่างกัน ซึ่งก็จะทำให้สินค้าที่เรามีอยู่สามารถมีช่องทางเพิ่มในทางการตลาดกับต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง